31 มกราคม 2551

แอปเปิ้ลแก้ว

วันสุดท้ายในบ้านหลังนี้*

ตอนเช้าคงย้ายออกจากบ้านแล้ว
เก็บของยัดใส่รถแม่ เหลือแค่คอมตัวนี้อย่างเดียว
ไม่รู้ว่าจะได้มาเขียนอีกเมื่อไหร่

วันนี้ยังไม่ได้อาบน้ำเลยทั้งวัน
นั่งดูหนังญี่ปุ่นของนกเล็กจนถึงตอนนี้
แผ่นสุดท้ายใกล้จบแแล้ว เดี๋ยวคงไปนอน

ได้คุยเอ็มกับจ๋าด้วย หลังจากที่ไปเม้นท์กันไปมาที่ไฮ5
คุยเรื่องเรียน เรื่องชีวิตกันนิดหน่อย

สองวันมานี่รู้จักคนเพิ่มเป็นสองคนแล้ว
เมื่อวานก็คุยกับผู้หญิงที่ชื่อเอม
เพื่อนแนะนำให้อีกที เรียนจบทำงานแล้ว
อายุมากกว่าเราสองปี ก็คุยดีนะ
แต่ตอนนี้ยังไม่อยากคบใครจริงจัง
เพราะเราเองก็ยังตัดใจจากคนที่ชอบไม่ได้

พรุ่งนี้ต้องไปทำงานตอนบ่ายอีก ครูโทรมาตาม
บอกว่าครูอีกคนไม่ว่าง เราเลยรับปากว่าจะไป
คงต้องขนของแล้วเอาไปวางไว้ก่อน ค่อยไปจัดอีกทีตอนเช้า

วันนี้คงเขียนแค่นี้ ไม่รู้จะเขียนอะไร
เพราะไม่มีอะไรเลยจริงๆ
ชีวิตประจำวันเหมือนเดิม เหมือนเมื่อวาน
คิดถึงคนเดิมๆ ซ้ำๆ เหมือนเมื่อวาน

ตื่นนอน เปิดคอม เล่นเอ็ม ไฮ5 บลอก
กินข้าว ดูหนัง นอน คิดถึงคน

นอยบ้าง เนือยบ้าง

ซ้ำซากมาหลายวันแล้ว

แต่ถ้าย้ายไปอยู่หอ คงทำแบบนี้ไม่ได้แล้วนะ
ต้องหางานทำ หาเงินจ่ายค่าหอ

เห้อ หนังจบแล้ว ต้องไปนอนแล้วล่ะ

29 มกราคม 2551

หม่นๆ

เมื่อคืนนอนกี่โมงไม่รู้ อ่าน ซามูไรตกดิน ที่ยืมนกเล็กมาจนจบแล้วก็หลับ
วันนี้ตื่นกี่โมงไม่รู้ เหมือนกัน ตื่นมาแล้วก็ไม่เจอใคร เพราะแม่พายายไปหาหมออีกรอบ
เราก็ลงมาเปิดคอม หาอะไรกิน สักพักแม่ก็กลับมา พี่ก็กลับมาด้วย

แม่ซื้อก๋วยเตี๋ยวมาให้ เรากินเสร็จแล้วก็นั่งหาหนังในเว็บดู
อ่านมาจากหนังสือแล้วอยากดู เลยลองหาปรากฎว่าเจอ

เรื่องแรก picnic ของ ชุนจิ อิวาอิ ดูแล้วหม่นได้ใจจริงๆว่ะ
ตอนจบสะเทือนอารมณ์โคดๆ เท่านั้นยังไม่พอ
ไปเจอเรื่อง Visitor Q เข้าให้ คราวนี้ดูแบบไม่ต่อเนื่อง
เพราะทนไม่ไหว หนังมันเหี้ยเกินไป ดูแบบผ่านๆ
หนังของมิอิเกะนี่สุดจะทน เท่าที่ดูมา ชอบ อิจิ มากสุด
เพราะมันซาดิสต์ก็จริง แต่ก็ยังมีอารมณ์ขัน ไม่เหมือนเรื่องอื่น

อืม ดูจบแล้วอยากจะอ้วก ไม่อยากทำไรเลย
รู้สึกเหมือนจะไม่สบาย เลยขึ้นไปนอนห้องแม่
แม่นอนให้เค้านวดอยู่ เรานอน พยายามจะหลับ
แต่ก็ได้ยินเสียงเค้าคุยกัน เรื่องงานของแม่
เราไม่อยากฟัง แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ข้างล่างพี่ก็อยู่
ก็นอนฟังไปเรื่อยๆ รู้สึกแปลกๆ ที่ได้รู้เรื่องงานของแม่

แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่อยากให้แม่ทำงานนั้นอีก
แต่ที่เราอยู่มาได้ทุกวันนี้ ก็เพราะแม่ทำงานนั้นหาเลี้ยงเรา
เราไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไง ผิดหรือถูก ขาวหรือดำ เราแยกมันไม่ออก

ได้แต่หวังว่า แม่คงไม่ต้องกลับไปทำงานแบบนั้นอีก

เรานอนฟังแม่พูดกับหมอนวดจนหลับไป
แล้วก็ตื่นลงมาช่วยแม่ทำกับข้าว
ทำเสดก็นั่งดูหนังที่ยืมนกเล็กมา
แล้วก็กินข้าว กินข้าวเสดนั่งออนเอ็ม
เปิดหนังดูต่ออีกสองสามแผ่น แต่ตอนนี้คอมมันไม่ยอมอ่านแผ่นต่อ
เราเลยมานั่งเขียนนี่แหละ

มะรืนนี้ก็ย้ายหอแล้ว วันเสาร์มีนัดกับพวกมุกข์
หวังว่าคงไม่มีอะไรติดขัดนะ

อืม ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป เราคงไม่ได้มาเขียนสักพักถ้าไม่มีเน็ตเล่นน่ะนะ
ไม่รู้ว่าจะได้ใช้รึเปล่า อาจจะไปเล่นที่ห้องเพื่อน แต่ก็เกรงใจมัน
ถ้่ามีเน็ตให้เล่น ก็คงได้มาเขียนเล่าเรื่องหอใหม่ เรื่องที่ไปเที่ยว

ตอนนี้ ไปดูหนังต่อละ

28 มกราคม 2551

ขีดจำกัด

เมื่อคืนนอนตีสอง อ่านแกะรอยแกะดาวแต่ไม่จบ
ตื่นมาอีกทีตอนกี่โมงไม่รู้ ได้ยินเสียงแม่ลุกไปแต่งตัว
ทำกับข้าว แล้วบอกว่าจะพายายไปหาหมอ

พอตื่นแล้วก็เลยนอนอ่านแกะรอยแกะดาวต่อ
หลับๆตื่นๆอยู่บนเตียงแม่นั่นแหละ
วันนี้ไม่อยากลุกจากที่นอนเลย
รู้สึกเหมือนจะไม่สบาย เจ็บคอแปลกๆ
จะว่าเพราะสูบบุหรี่วันก่อนก็ไม่น่าเกี่ยว
มันเหมือนอาการเริ่มแรกของไข้หวัดมากกว่า

อืม ก็นอนอ่านแล้วก็หลับไป จนแม่กับยายกลับมาบ้าน
เราลงมากินขนมปังกับน้ำผลไม้ แล้วขึ้นไปอ่านต่อ
แล้วก็หลับยาวจนบ่ายสอง ตื่นอีกทีเพราะเสียงคนทะเลาะกัน

พี่เราขึ้นมาที่ห้อง มาเอาของไรซักอย่าง แล้วก็ลงไป
ได้ยินเสียงแม่ด่าพี่ดังลั่น แล้วก็ด่าน้าด้วย
เราไม่อยากลงไป ก็เลยนอนอยู่ข้างบน จนเสียงเงียบไป
แต่สักพักน้าเราก็มาที่บ้าน มาร้องไห้กับแม่เรา
แล้วก็ได้ยินเสียงแม่เราด่าคนโน้นคนนี้ สลับกับเสียงน้า เสียงยาย

เราปวดหัว อยากหายตัวไปจากบ้านนั้น
แทบทนรอไม่ไหวที่จะออกจากบ้านนี้แล้ว

เบื่อที่ต้องมาได้ยินเสียงอาละวาดของคน เสียงทะเลาะ
เราอยากอยู่แบบเงียบๆเหมือนเดิมที่เคยเป็นมา
ถึงจะเหงาบ้างในบางครั้ง แต่ก็ยังดีกว่าต้องทนอยู่แบบนี้

หลังจากเสียงต่างๆเงียบหายไป เราลงมาข้างล่าง
มากินข้าว แล้วก็อ่านแกะรอยแกะดาวต่อ
แล้วสักพักก็มีญาติมาที่บ้าน เป็นญาติห่างๆ
มาพร้อมกับเสียงพูดคุยดังลั่น วุ่นวายอีกแล้ว

เราทนอ่านอยู่ข้่างล่างได้แค่สักพักก็ไม่ไหว
ต้องขึ้นไปอ่านต่อข้างบนจนจบเล่ม

เราเบื่อเหลือเกิน เบื่อคน เบื่อความวุ่นวาย
เบื่อการทะเลาะ เบื่อความโมโหร้าย

เราอยากไปให้ไกลจากสิ่งเหล่านี้

อีกสองวันเท่านั้น เราจะเป็นอิสระแล้ว
เราจะได้อยู่คนเดียวเหมือนเคย
จะไม่ต้องทนกับสิ่งพวกนี้อีก

วันนี้เราแทบไม่ทำอะไรเลยนอกจากอ่านหนังสือ กิน และนอน
เปิดคอมทิ้งไว้ แต่ก็ไม่ค่อยได้ทำอะไร ไม่ได้คุยกับใครเป็นพิเศษ

คิดถึงคนที่เคยคิดถึงเหมือนเดิม แต่ไม่มากนัก เพราะมีเรื่องอื่นเข้ามากวนใจ

ตอนดึกๆ เราเก็บหนังสือที่จะเอาไปหอใส่กระเป๋า
เอาเฉพาะที่สำคัญๆไป รวมทั้งซีดีเพลงกับหนัง
แล้วก็ของต่างๆที่ได้มาจากนกเล็ก

นอกนั้นยังไม่ได้เก็บ และยังไม่รู้ว่าจะมีอะไรบ้าง
เราแทบรอไม่ไหวแล้ว อยากไปจากที่นี่ใจจะขาด

การอยู่ท่ามกลางคนพวกนี้ จะทำให้เราบ้าตาย
หรือไม่ก็อาจทำให้เราฆ่าตัวตายได้ง่ายๆ
เราแค่ต้องการพื้นที่ส่วนตัวของเราจริงๆ

ไม่อยากพบเจอผู้คนใดๆ
เราอยากอยู่โดดเดี่ยวได้มากเท่าที่เราต้องการ
และเลือกที่จะอยู่ร่วมกับคนที่เราต้องการได้

เราขอแค่นี้เอง มากไปรึเปล่า

เราเหนื่อย เบื่อ

ตอนนี้เราไม่มีความสุขเลย
ถ่ายรูปออกมาแต่ละใบมันบ่งบอกออกมาทั้งทางสีหน้าและแววตา
เราสงสารคนรอบข้างเรา ที่เห็นเราทำหน้าบอกบุญไม่รับใส่พวกเขา
ทั้งๆที่เราไม่ได้ตั้งใจ แต่เราไม่สามารถปั้นหน้าให้เป็นปกติได้

เราไม่สามารถพูดคุยกับใครได้ในตอนนี้
เบื่อไปหมด ไม่อยากปริปากพูดเอ่ยคำใดๆ
เราอยากอยู่เงียบๆคนเดียวสักพักใหญ่ๆ

หวังว่าเราจะหายจากอาการแบบนี้ในไม่ช้า

ตอนนี้เรารู้สึกเหมือนจะไม่สบาย
เจ็บคอ ท้องเสียด้วย
หรือเราจะเครียดมากไป

เราควรไปนอนแล้ว ก่อนที่จะแย่กว่านี้
พรุ่งนี้คงเป็นวันที่น่าเบื่ออีกวันนึงของเรา
แล้วเราจะมาเขียนเล่าวันอันน่าเบื่อหน่ายอีกวันนึง

ไปล่ะ

27 มกราคม 2551

เก้าชีวิต

วันอาทิตย์จิตว้าวุ่น*


เมื่อคืนขึ้นไปนอนกับแม่ เพราะยายนอนที่เตียงเรา
นอนคุยกับแม่หลายเรื่อง จนหลับไป
ตื่นมาตอนเจ็ดโมงเช้า เพราะเสียงตอก ทุบ ของคนงานก่อสร้าง
รู้สึกเหมือนจะไม่สบาย เพราะนอนห้องแอร์

ลงมาเปิดคอมออนเอ็มทิ้งไว้ แล้วขึ้นไปอ่านแกะรอยแกะดาว
จนหลับไปอีกครั้ง มาตื่นเอาตอนที่แม่ปลุกไปวัด

อาบน้ำแต่งตัว ไปวัดกับแม่ ตั้งใจจะไปให้อาหารเต่า
แต่ดันลืมซะงั้น มัวแต่ไปถวายอาหารเพล รับศีลรับพร
แล้วก็ไปปล่อยปลาดุก! แม่บอกว่าให้ปล่อย เราก็โอเค ปล่อยก็ปล่อย

ตอนที่นั่งฟังพระสวดอยู่ ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่างเปล่า
คนมาทำบุญมากมาย แต่เรากลับรู้สึกว่าพิธีกรรมมันไร้ความหมาย
หรือเป็นเพราะความเชื่อทางพิธีกรรมของเรามันไม่หลงเหลืออยู่ต่อไปแล้ว


เราเป็นชาวพุทธ นับถือหลักธรรมคำสอน
แต่เราแค่รู้สึกว่า การกราบไหว้ บูชา ทำบุญ
มันไม่มีความหมายสำหรับเรา

เราก็แค่อยากจะเป็นคนดี ไม่ทำร้ายผู้อื่น
แต่เราไม่อยากเข้าวัด แล้วมาทำอะไรแบบบนี้เลยสักนิด
เรายังเป็นชาวพุทธอยู่รึเปล่านะ ในสายตาของคนอื่น

ช่างเถอะ ไม่ว่าใครจะมองยังไง เราก็จะเป็นของเราแบบนี้

กลับจากไปวัด เรากินส้มตำไก่ย่างข้าวเหนียวเป็นอาหารมื้อแรก
แล้วขึ้นไปอ่านหนังสือต่อที่ห้องแม่ จากนั้นก็หลับไปจนถึงบ่ายสอง
เราตื่น เพราะต้องออกไปตลาดนัดจตุจักร ไปหาของชำร่วย
ที่รุ่นพี่ฝากให้ช่วยดูให้ เพราะเค้าจะแต่งงานเดือนมีนานี้แล้ว

ที่สวน เราเห็นผู้คนมากมาย ทั้งคนที่มาซื้อของ
คนที่ขายของ นักดนตรีเปิดหมวก คนขอทาน
ชาวต่างชาติจากหลายประเทศ เราเดินผ่านผู้คนเป็นสิบเป็นร้อย
เราเหนื่อย ไม่ชอบเดินท่ามกลางฝูงชนแบบนี้

เราเดินหาของที่ต้องการสักพักก็เจอร้านนึง
เราให้เมลเค้าไว้ และขอนามบัตรเค้ามา
หลัวจากนั้น เราเดินไปซื้อบุหรี่นอก รสเมนทอล
ยี่ห้ออะไรจำไม่ได้แล้ว ซื้อมาสามมวน ราคา20บาท

เราจุดบุหรี่มวนแรก เดินหาร้านนั่งพัก
เจอร้านน้ำผลไม้ปั่น เราสั่งสตอร์เบอรรี่ปั่นราคาแก้วละ30บาท
อร่อยมากเลยทีเดียว มีเนื้อสตอร์เบอรรี่ให้เคี้ยวด้วย
เรานั่งที่เก้าอี้ไม้ของร้าน นั่งมองคนเดินผ่านไปผ่านมา

เราจุดบุหรี่มวนที่สอง หยิบแกะรอยแกะดาวมาอ่านต่อ
แดดแรง อากาศร้อนอบอ้าว
หลังจากอ่านไปได้ไม่กี่หน้า เรายอมแพ้ต่ออากาศ
เราจุดบุหรี่มวนที่สาม แล้วนั่งเหม่อมองคนที่เดินผ่านไปมาอีกครั้ง

ตรงหน้าเรามีคณะลำตัดเด็กสองคน
กำลังแสดงลำตัดตามแบบฉบับของพวกเขา
มีคนมายืนดู และให้เงินพอสมควร
เราเห็นฝรั่งคนนึง ถือกล้องวีดีโอ ถ่ายพวกเขาขณะทำการแสดง
เราเดินไปและเอาเงินที่มีอยู่ในมือหย่อนลงในแก้ว
เรานั่งมองอะไรไปเรื่อยๆ

เมื่อเราอิ่มน้ำสตอร์เบอรี่ปั่นแล้ว เราจ่ายเงิน แล้วลุกออกไป
เราเดินหาทางออก แต่ไปเจอนักดนตรีเปิดหมวกคนนึงเป็นผู้ชาย
เค้านั่งเล่นกีต้าร์ มีลำโพง มีไมค์ พร้อมสำหรับการแสดง
เสียงเพลง Let it be ของ The beatles ลอยเข้ามาในหู
เราหาที่ร่ม หยุดยืนฟัง จนจบเพลง
และเดินเอาเงินสิบบาทไปให้นักดนตรี

หลังจากนั้นเราถ่ายรูปเค้าเก็บไว้
เผื่อว่าวันนึงเราอาจได้เล่นดนตรีเปิดหมวกด้วยกันสักครั้ง

เราคิดถึงตัวเอง ตอนที่ไปเล่นดนตรีเปิดหมวกตามที่ต่างๆ

เราเดินออกจากที่ันั่น ไปขึ้นรถเมล์
เรารู้สึกว่าวันนี้เราใจลอย เหมือนสติของเราไปอยู่ที่ไหนสักที่
เรามองผู้คนที่เราเดินผ่าน ที่เดินผ่านเรา
ดูการแต่งตัว สีหน้าท่าทาง
ยิ่งเรามองเห็นมากเท่าไหร่ เรายิ่งอยากไปให้ไกลจากตรงนั้น

เรานั่งรถไปลงเซ็นทรัลรามอินทรา ตรงไปร้านหนังสือ
เราหาหนังสือของปราย พันแสงเล่มเดียวกับที่ซื้อให้นกเล็กไม่เจอ
เราเลยเดินไปหาอีกมุมนึง เราเจอNine livesของ อัพ ทรงศีล
หน้าปกใหม่ สวยกว่าเดิม ข้างหน้าบอกว่า "พิมพ์ครั้งที่3"
เราตัดสินใจเลือกซื้อเล่มนี้แทน ตัดใจทิ้งเล่มอื่นๆไว้ก่อน

"เสียงในความทรงจำ"
"ระลึกถึง คิดถึง นึกถึง"

เป็นสองในหลายๆเล่มที่เราอยากได้
เราเหลือเงินอยู่แค่สองร้อยบาท เราจึงต้องเลือก

และเราก็เลือกไปแล้ว เราใช้แสตมที่สะสมลดราคาหนังสือ
จ่ายเงินไป120บาทจากราคา165บาท
เรานับเงินในกระเป๋า อยากได้หนังสืออีกสักเล่ม
เหลือเงินอีกหนึ่งร้อยบาท ที่เหลือเศษๆต้องเก็บไว้เป็นค่ารถ
เราเดินกลับไปที่ร้าน ตรงไปยังมุมนิตยสาร
หยิบFilmaxมาอ่านเนื้อหาข้างใน
ตัดสินใจซื้อเล่มนี้ราคา90บาท หลังจากนั้นเราออกจากร้าน
ขึ้นรถกลับบ้าน และ กลับมาเปิดคอม นั่งเขียนเรื่องที่เจอมาวันนี้
หลังจากเขียนเสร็จ เราจะไปหาข้าวกิน แล้วนอนอ่านหนังสือที่เตียงสีแดงของเรา

เราจะอ่านแกะรอยแกะดาวให้จบ หลังจากนั้น อาจจะอ่านFilmaxที่ซื้อมาใหม่
ทั้งๆที่เล่มก่อนหน้านี้ เรายังอ่านไม่จบเลย
แล้วยังมีA dayกับ Bioscope ที่อ่านค้างไว้

แต่ก่อนอื่น เราจะอัพโหลดรูปที่ถ่ายมาเก็บลงHi5ก่อน

วันนี้เราคิดอะไรมากมายเหลือเกิน เหนื่อยทั้งๆที่ไม่ได้ทำงานอะไร
พรุ่งนี้เราจะอยู่บ้านอ่านหนังสือทั้งวัน ไม่ออกไปไหนแล้ว

วันนี้คงจบเท่านี้ก่อน พรุ่งนี้ไว้มาเขียนใหม่
ไปล่ะ

26 มกราคม 2551

รู้สึกแปลกๆ

วันเสาร์เศร้าๆ*

วันนี้ตื่นไปทำงานแต่เช้าเหมือนเคย
ขี่จักรยานออกจากบ้าน อากาศหนาว ลมพัดเย็น
เสียงเพลง something ของ the beatles ก้องดังอยู่ในหู

" something in the way she moves
Attracts me like no other lover
Something in the way she woos me"

ทำให้คิดถึงใครบางคน คนที่คิดถึงเป็นประจำอยู่ทุกคืนวัน

ฟังเพลงนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า นึกถึงประโยคที่มีคนเคยถามว่า
ทำไมเราถึงรักคนอย่างแก นกเล็ก แกมีอะไรดี
เราตอบไม่ได้ว่ามีอะไร แต่รู้แค่ว่า มันมีบางอย่าง

"I don't want to leave her now"
และบางอย่างนั้นทำให้เราเป็นเหมือนประโยคข้างบน

บางที เมื่อเวลาผ่านไปนานกว่านี้ เราอาจจะรักแกน้อยลงก็ได้นะนกเล็ก
แต่ตอนนี้ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ถึงเราจะพยายามทำตัวให้เหมือนเพื่อนทั่วๆไป
พยายามพูดคุยกับแกให้ปกติที่สุด แต่ข้างในใจของเรา มันก็ยังคงรู้สึกเหมือนเดิม

ในขณะที่เราคิดถึงแก ยังมีใครอีกคนที่คิดถึงแกเช่นกัน
เราเขียนถึงแก บุ๋มก็เขียนถึงแกด้วย

แกดีใจรึเปล่าที่มีคนรักมากมายขนาดนี้

เรารู้ดีว่าระหว่างแกกับบุ๋มหรือแกกับเน มีความผูกพันกันมากกว่าเราทั้งหมด
เรียกได้ว่า ถ้าเราเลิกคุยกับแก เลิกโทรหา เลิกไปเจอ
แกก็คงไม่รู้สึกเศร้าที่เราหายไป

เรารู้สึกดีที่อย่างน้อย เมื่อเราจากไป แต่แกยังมีคนที่รักอยู่เคียงข้างหลายคน

ที่จริงแล้ว เราคิดว่าจะไม่เขียนเรื่องแกลงบลอกนี้ให้มากนัก
แต่เพราะอะไรไม่รู้ วันนี้เเรากลับเขียนถึงแต่เรื่องแกมากมาย

อาจเพราะเราเพิ่งไปอ่านบลอกของบุ๋มมาก็ได้มั้ง
เราเลยรู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นมา

อืม เดี๋ยวเราก็คงหาย เลิกพูดถึงมันดีกว่า

เล่าต่อเรื่องวันนี้

เราทำงานไม่ได้หยุดเลยทั้งวัน
กลับบ้านมากินข้าว ยายเรามาจากต่างจังหวัด
แม่จะพาไปหาหมอวันจันทร์นี้

พรุ่งนี้เราต้องไปดูของที่รุ่นพี่เราฝากให้ช่วยดูราคาให้ที่สวน
แต่ตอนเช้า แม่เราชวนไปให้อาหารเต่าที่วัด

จริงๆแล้วเราไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่
เพราะยังมีหนังสือที่ยังไมไ่ด้อ่านอีกหลายเล่ม

ตอนนี้เรากำลังอ่านเรื่อง การปรากฎตัวของหญิงสาวในคืนฝนตก
ใกล้จบแล้ว เราอ่านเร็วมาก เพราะภาษาที่ใช้มันไม่เหมือนกับที่คุณนพดลแปล
เราว่าโตมรแปลไม่ดีเท่านพดล เราเลยอ่านแบบไม่ได้ละเลียดกับถ้อยคำมากนัก

จบจากเล่มนี้เราจะอ่านแกะรอยแกะดาวต่อ

อ้อ วันนี้เราอัพบลอกนั้นด้วย เรื่องโปสการ์ด

เราชักอยากไปปายมากขึ้นทุกทีแล้ว
พอหยิบมาดูทีไร ก็อยากไปขึ้นมาทุกที
แต่เงินนี่สิ ปัญหาใหญ่

เอาไว้ถ้าเราได้ไปเมื่อไหร่ เราจะส่งโปสการ์ดให้คนที่เรารักทุกคนเลย
แน่นอนว่า ไม่ลืมสำหรับ นกเล็ก บุ๋ม แล้วก็อีกหลายๆคน

ห้าทุ่มแล้ว วันนี้เราคิดไม่ออกว่าจะเขียนเรื่องตัวเองยังไงดี
จบมันตรงนี้เลยละกัน หวังว่าพรุ่งนี้คงมีเรื่องให้เขียนใหม่

ไปอ่านหนังสือต่อให้จบดีกว่า

25 มกราคม 2551

แค่สองคำ

วันศุกร์สุขๆ*

อาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้านตั้งแต่สิบโมง
เดินทางไปคณะนิเทศจุฬา เอาหนังสือไปคืนนกเล็ก
แล้วก็ไปเอาหนังที่ยืมไว้ ไปถึงโน่นก็บ่ายโมงพอดี

ไปนั่งที่โรงอาหารกับชุแล้วก็ปอย ชุเอาหนังสือมาคืนสองเล่มที่ยืมไป
แล้วก็นั่งรออัฐมา สักพักนกเล็กก็มาถึง ก็คุยกันนิดหน่อย
แลกหนังสือกับหนังกันเสด ก็นั่งอ่านอะไรไปเรื่อยเปื่อย
แล้วสักพักปอยกับชุไปห้องคอม เหลือเรากับนกเล็กอยู่สองคน
นกเล็กนั่งกินข้าว เราเลยเล่าเรื่องบุ๋มให้ฟัง
แต่ก็ไม่มีอะไร คุยกันนิดหน่อย แล้วนกเล็กก็ขึ้นไปเรียน

เรากับชุเดินไปหอกลาง ชุยืมหนังสือของมูราคามิให้สองเล่ม
แล้วก็ยืมเรื่องอะไรมาให้อีกเล่มก็ไม่รู้
อ้อ นกเล็กให้ยืมหนังสือมาอีกเล่มนึงด้วย
ซามูไร ตกดิน ของนรา อยากอ่านอยู่พอดี

อืม ยืมหนังสือเสดก็นั่งคุยเล่นรออัฐอยู่ที่หน้าหอกลาง
แล้วก็ถ่ายรูปกับชุ กินไอติมกินกับชุ แล้วก็นั่งมองคนเดินไปเดินมา
พอหมีอัฐมาถึง ก็ไปหานิ่มที่หอ นั่งสูบบุหรี่กันสี่คน
บุหรี่ชื่อเท็กซัสอะไรนี่แหละ เพิ่งเคยสูบ ก็นุ่มๆดี
แล้วจากนั้นก็ไปกินฮะจิบังที่มาุบุญครองกับอัด ชุ
กินเสดก็ไปเดินหาหนังสือที่ศูนย์หนังสือจุฬา

จะหาเรื่องSputnik sweetheart แต่ไม่มี
เค้าบอกเหลือเล่มเดียว คือNorwegian woods
โคดจะดีใจอะ อ่านแล้ว แต่หาซื้อไม่ได้ซะที
ไม่คิดว่าจะมาเจอโดยบังเอิญ
เลยซื้อมาเก็บไว้อีกเล่ม ตอนนี้ก็มีทั้งหมดหกเล่มแล้ว
แต่จะพยายามซื้อเก็บให้ครบทุกเล่มที่เคยอ่าน

อัดหาหนังสือที่จะซื้อไม่เจอ เลยไปดูที่คิโนะพารากอน
เราเจอAfter the quake ที่คมสันแปลด้วย
อยากได้ แต่เงินหมดแล้ว กะว่าเดี๋ยวไปซื้อวันอาทิต
เหลืออยู่สามเล่ม แต่มันเยินๆอะ มีเล่มเดียวที่ดูไม่เยินมาก

อืม แล้วหนังสือที่อัดจะซื้อก็ไม่มีอีก
เลยต้องเดินไปที่เซ็นทรัลเวิลดิ์
ไปบีทูเอส ปรากฎว่ามี แล้วเราก็เดินๆดูหนังสือ
เห้อ มีหนังสือที่เราอยากได้เยอะมาก
อยากมีเงินเยอะๆว่ะ จะมาซื้อไปอ่านให้หมดเลย

อืม พอซื้อเสดเราก็ขอตัวกลับก่อน เพราะกลัวรถหมดอะ
แล้วก็หิ้วหนังสือหนักด้วย ขี้เกียจเดินต่อแล้ว
ก็เดินไปขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานีชิดลมไปลงนุสาวรีย์
แล้วก็ต่อสามเก้า มาลงสะพานใหม่
แล้วก็ต่อ1009 กลับบ้าน แล้วก็ขี่จักรยานเข้าบ้าน

เหอๆ กว่าจะถึง ไม่รู้กี่ต่อ
ถ้าย้ายหอแล้วก็ไม่ต้องนั่งรถเยอะขนาดนี้แล้ว
เพราะมีสาย113ถึงหอเลย จากมาบุญครอง
ทีนี้กลับดึกเท่าไหร่ก็ไม่กลัวตกรถแล้วว้อย

อืม สรุปวันนี้ออกไปข้างนอก ตังค์หมดเกลี้ยงเลย
ซื้อหนังสือไปสองร้อยกว่าบาท
กินฮะจิบังไปร้อยกว่าบาท

ออกไปข้างนอกที่มันเปลืองเงินจริงๆว่ะ

แล้วก็แปลกใจว่า ทำไมแถวสยามแถวในเมือง
มันมีแต่คนหน้าตาดีๆกันทั้งนั้นเลยวะ
แต่งตัวก็เก่ง ไม่รู้เอาเงินมาจากไหนกันนะ

เดินผ่านคนไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยคน
ทุกคนดูเร่งรีบกันจัง
ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เอาซะเลย

เราคงไม่เหมาะกับกรุงเทพจริงๆ
ถึงจะชอบแสงไฟจากป้านร้านค้า ป้ายโฆษณาก็เถอะ
แต่ก็ไม่ชอบคนๆๆๆๆ เยอะแบบนี้

ถ้าเป็นไปได้ ก็ขอให้ได้ทำงานที่ต่างจังหวัด ที่ๆไม่มีคนพลุกพล่าน
ไม่เร่งรีบ วุ่นวาย สับสนแบบนี้


เห้อ ไม่รู้ว่าถ้าต้องใช้ชีวิตในเมืองกรุง
เราจะมีชีวิตรอดถึงแก่ตายรึเปล่านะ

อืม สรุปวันนี้ได้หนังสือมาอ่านกี่เล่มหว่า

การปรากฎตัวของหญิงสาวในคืนฝนตก
แกะรอยแกะดาว
ทำอย่างไรให้โง่
ซามูไรตกดิน

ทั้งหมดสี่เล่ม

แล้วก็ได้หนังสือที่ถูกยืมไปกลับมาอีก

ปราบดาเขียนถึงญี่ปุ่น
สดับลมขับขาน
ฮีชีอิท

แล้วก็ที่ซื้อเก็บอีกเล่มคือนอวีเจี้ยนวู้ดส์

อ้อ กลับมาบ้าน ได้รับโปสการ์ดของนกเล็กซะที
ประทับตรากระต่ายด้วย
อ่านข้อความแล้วอารมณ์มันแตกต่างกับของบุ๋มซะเหลือเกิน
แค่คำสองคำนี่ มันมีผลมากขนาดนี้เลยจริงๆหรอวะ
อืม ก็ไม่ควรคิดอะไรมากอยู่แล้วนี่ ยังไงก็เพื่อนกัน
แค่ยังนึกถึงส่งมาให้ก็ดีใจละ

ขอบคุณว่ะ

พรุ่งนี้ทำงานเช้า ไปนอนดีกว่าเรา เดี๋ยวตื่นไม่ไหว
กลับมาจะอ่านหนังสือให้ตาแฉะเลย><

24 มกราคม 2551

เฮ้ จู๊ด!!

รายงานสภาพชีวิตประจำวันนี้*

ตื่นเก้าโมงครึ่ง มานั่งสะลึมสะลือหน้าคอม
จำไม่ได้แล้วว่านั่งทำไรบ้าง แต่แม่ออกจากบ้านไปตอนเก้าโมง
รู้ตัวอีกทีก็นั่งคุยเอ็มกับบุ๋ม จนเกือบๆจะสิบเอ็ดโมงนั่นแหละ
แล้วนกเล็กก็ทักมาว่าวันนี้ออกไปข้างนอกเปล่า จะเอาหนังที่เรายืมมาให้
แต่เราต้องไปทำงานอะดิ เลยไม่ได้ไปเอา ก็นัดกันว่าเป็นวันพรุ่งนี้
เราก็จะเอาหนังสือไปคืนด้วย ที่จริงพรุ่งนี้ก็อาจจะต้องทำงาน
แต่เราบอกที่ทำงานไปแล้วว่าไม่ว่างไป ติดธุระ เหี้ยปะล่ะ

เรื่องของเรื่อง คือถ้าไม่ไปเอาพรุ่งนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะได้ไปเอาเมื่อไหร่น่ะสิ

อืม ก็คุยเอ็มถึง11โมง แล้วก็รีบอาบน้ำแต่งตัว ไปทำงาน
ใส่เสื้อใหม่ไปทำงานด้วยล่ะ ยังไม่ได้ซักเลย ฮ่าๆ
เลือกตั้งนานว่าจะใส่สีขาวหรือดำดี ลองไปสองรอบ
ปรากฎว่า ใส่เสื้อดำเกงขาว ส่วนพรุ่งนี้จะใส่เสื้อขาวเกงดำ
ใส่สีขาวแล้วแอบไม่มั่นใจเหมือนกันแฮะ เพราะเดี๋ยวนี้อ้วนมาก--'

ตอนกลางวันก่อนเข้างาน กินมาม่าผัดขี้เมาทะเลร้านประจำ
อร่อยมากๆอะ โคดชอบรสที่พี่เค้าทำเลย แล้ววันนี้อยากกินโค้ก
ก็เลยกินไปขวดนึง ตอนกินอยู่ ดูมือถือ บุ๋มโทรมาไม่ได้รับ
เลยโทรไป คุยแป๊บเดียวก็วางไป เราเลยส่งข้อความไป
เห็นว่ากำลังแซด เลยส่งประโยคเริ่มต้นเพลง Hey judeไปให้
เพราะเห็นว่ามันเข้าดี ส่งไปสักพัก บุ๋มโทรกลับมาเลย 55+
ถามว่าส่งไรไป เราก็บอกให้ไปหาฟังหาแปลเอาเอง
จริงๆเนื้อเพลงมันแปลออกมาเป็นความหมายที่ไม่เกี่ยวกับที่เราจะเอา
มันก็เลยงงๆว่าเราคิดไร ทำไมส่งไป
แต่ที่เราตั้งใจส่งให้ มันแค่ประโยคแรกแหละ นอกนั้นไม่เกี่ยว

อืม วันนี้ก็ำทำงานไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีีก็หกโมงเย็นละ
กลับบ้าน แวะซื้อไก่ทอดอิสลามหาดใหญ่เจ้าประจำ
ไปถึงบ้าน มีกับข้าวแม่รออยู่สองอย่าง ไข่เจียวกับผัดพริกแกงไก่
ก็กินจนอิ่มอะ หิวมากๆเลยวันนี้ กินอะไรก็อร่อย

กินเสดก็นั่งทำการบ้านคุมองไปสามฉบับ ดูละครช่อง3
แล้วก็ไปเปิดคอมออนเอ็มตอนหนังจบ
นั่งพิมเรื่องหญิงสาวในสุญญากาศตอน1+1เท่ากับ0
โคดเมื่อยมือเลย แต่ก็อยากพิมเก็บไว้ ให้คนอื่นได้อ่านด้วย

ตอนนี้ก็อ่านแดนฝันของมูราคามิจบไปแล้ว
ไม่มีหนังสืออะไรยาวๆอ่านแล้ว เหลือแต่อะเดย์กับไบโอ
ก็เอาไบโอมาอ่าน แต่ก็ยังไม่จบอะ อ่านเรื่อยๆ

ส่วนตอนนี้นั่งคุยเอ็มกับผึ้งอยู่ เออ ลืมเลย
วันนี้ผึ้งโทรมาคุยด้วยนี่หว่า เรื่องหนังญี่ปุ่น
เดี๋ยวผึ้งจะเอาหนังมาให้ยืม เราก็จะเอาไปให้สองเรื่อง
อยากดูแล้วอะ

แล้วตอนห้าโมง บุ๋มก็โทรมาด้วยนี่หว่า
โทรมาเล่าว่าทำเงินหาย ไม่มีตังกลับบ้าน รอพ่อมารับ
อืม เท่านั้นแหละ ไม่มีไร แล้วก็วางไป

วันนี้มีสายเข้าหลายรอบเลยเหมือนกันแฮะ ปกติมีแต่แม่โทรมา

อืม เดี๋ยวนั่งอยู่อีกสักพักก็จะไปนอนแล้วแหละ
พรุ่งนี้จะออกไปจุฬา ไปเอาหนังสือ ไปเจอพวกชุกับอัฐ

ไว้พรุ่งนี้มาเขียนต่อ ว่าเจอไรมามั่ง
วันนี้ก็ไม่ค่อยมีไร ไปละ

ปล.เอาเพลงของสี่หนุ่มลงเอ็มพีได้แล้ว
วันนี้นั่งฟังทั้งวันเลย

I love Beatles!!

23 มกราคม 2551

จับฉ่าย

ผ่านไปอีกหนึ่งวันเรื่อยเปื่อย!!

วันนี้ตื่นสิบโมง ตื่นมาอ่านแดนฝันต่อ
ใกล้จบแล้วล่ะ คาดว่าคงจบคืนนี้

แม่ตื่นพร้อมกันเลย แม่ทำต้มจับฉ่าย
กับปีกไก่ทอดให้กิน ก็กินแต่ปีกไก่น่ะนะ
เพราะเกลียดผัก แต่ว่าน้ำจับฉ่ายก็พอกินได้แหละ
อร่อยดี ซดกับข้าว ไม่ฝืดคอด้วย

กินข้าวเสดก็นอนอ่านสือต่อ จนเที่ยงๆ มะก็โทรมา
บอกว่าเรียนเสดแล้ว ไปตะวันนากัน
เราเลยลุกอาบน้ำ แต่งตัว บอกแม่ว่าจะไปอ่านหนังสือที่หอมะ
ก็กะไปอ่านแดนฝันต่อให้จบนี่แหละ แล้วค่อยไปตะวันนา
แต่ว่า พอเอาเข้าจริง ก็อ่านได้นิดเดียว ส่วนใหญ่นั่งเล่นเอ็ม

คุยกับมุกข์ กับบี กับตาล
ตาลชวนไปเที่ยวชลบุรี บีก็ชวนไปหา
ส่วนเราชวนมุกข์ไปข้าวสารต้นเดือนหน้า
กะว่าจะเอาหนังสือไปคืนแล้วก็ไปยืมหนังสือด้วย

วันนี้นกเล็กไม่ออนทั้งวันเลยไม่ได้คุยกัน
แต่ก็ไม่มีไรคุยหรอก แค่จะบอกว่าให้ไปอ่านเรื่องหญิงสาวในสุญญากาศ
ที่เมื่อคืนอุตส่าห์นั่งพิมจนถึงตีสอง ยังเหลืออีกตอนที่ยังไม่ได้พิมด้วย
แต่วันนี้ไม่มีเวลาแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ทำงานตอนบ่าย
คืนนี้จะอ่านแดนฝันให้จบแล้วนอนเลย

ออกจากบ้านนั่งรถไปถึงหอมะตอนสามโมง ก็คุยเอ็มถึงห้าโมง
แล้วอ่านแดนฝันถึงหกโมง ก็ไปตะวันนากับมะ
ไปเดินดูเสื้อที่มะอยากได้ ปรากฎว่าไม่มีเลย
กลายเป็นเราได้เสื้อมาสองตัว คอวีขาวกับดำ

ตั้งแต่ย้ายบ้าน ก็ไม่ได้มาเดินตะวันนา
ของที่นั่นเยอะขึ้นมาก มีเสื้อผ้าที่เราอยากได้เพียบเลย
ถูกกว่าที่ยูเนี่ยนมอล์อีก มากๆอะ

ถ้าย้ายมาอยู่หอ สงสัยว่า คงต้องมาซื้อเสื้อผ้าใส่ที่นี่แหละ

อืม พอเดินดูเสดแล้ว ก็ไปร้านหนังสือซีเอ็ด ในเดอะมอล
เห็นมะบอกว่า เจอหนังสือของมูราคามิอีกเล่ม
After the quake ที่คมสันแปล ก็ไปหาแล้ว ปรากฎไม่เจอ
คาดว่าน่าจะหมดไปแล้ว เสียดายอะ ไม่งั้นจะได้อ่านต่อจากแดนฝัน

อืม แล้วก็แยกกับมะตรงน้อมจิต เราเดินไปขึ้นรถเมล์อีกทางนึง
ตอนเดินไป เจอร้ายขายซีดีก๊อบเพลงสากล
เลยซื้อบีทเทิ่ลมาแผ่นนึง ร้อยบาท
มีเพลงที่อยากได้มากๆ คือ เพลงSomething
แล้วก็อีกหลายๆเพลงเลย แต่พอเอามาเปิดที่บ้านจะลงเครื่อง
ไม่รู้ทำไมเอาลงไม่ได้ ฟังได้อย่างเดียว

อืม อยากเอาลงเอ็มพีสามไว้ฟังอ่า เสียดาย
เครื่องเล่นซีดีพกพาก็พังแล้วด้วยT_T

แต่ก็ยังได้ฟังแหละนะ ไว้เอาแผ่นไปเปิดที่รถแม่เวลานั่งรถไป

มาสังเกตตัวเองช่วงนี้ รู้สึกว่า จะหมกมุ่นอยู่กับหนังสือของมูราคามิ
กับเพลงของเดอะ บีทเทิลส์ เยอะเหลือเกิน

แล้วก็เริ่มกลับมาสนใจเรื่องการเมืองมากขึ้น

อ้อ แล้ววันนี้ก็เพิ่งรู้ข่าวว่า ฮีท เล็ดเจอร์ตายแล้ว
เสียดายชะมัด คนหนุ่มไฟแรง มาด่วนตายไปอีกคน

ทำไมดาราหนุ่มๆชอบตายก่อนวัยเสมอเลยนะ

อืม ก็เป็นอะไรที่ผ่านไปอีกครั้งนึง

อ้อ วันนี้ตอนนั่งรถไปหอมะ เห็นป้ายรับสมัครพนักงานพาร์ทไทม์เต็มเลย
ที่แฟมิลี่มาร์ทกับเซเว่นตรงแฮปปี้แลนด์ น้อมจิต
ถ้าไม่ได้ร้านหนังก็อาจมาสมัครตรงนี้ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะกลับหอยังไงอะไร

แล้วก่อนถึงแฮปปี้แลนด์ มีร้านหนังอีกสองที่ แต่มันอยู่ลึกอะ
ถ้าได้ตรงนั้น แล้วเราจะกลับบ้านยังไงหว่า
ก็ยังคิดอยู่ เดี๋ยวรอดูอาทิตย์หน้า ค่อยว่ากันอีกที

อีกเจ็ดวันเท่านั้น จะออกไปอยู่คนเดียวที่หอแล้ว
หวังว่าทุกอย่างคงราบรื่นนะ

เที่ยงคืนแล้ว ไปอ่านแดนฝันต่อ แล้วนอนดีกว่า
พรุ่งนี้ทำงานๆๆๆ

: P

22 มกราคม 2551

โปสการ์ดหลงทาง

อัปติดๆกันสองรอบ เพราะของเมื่อวานไม่ได้เขียน เลยมาเขียนตอนเช้าวันนี้
ส่วนที่เขียนอันนี้ของของวันนี้ งงมะ 55+

อืม วันนี้ตื่นสายมากเลย ที่จริงก็นอนแบบไม่ค่อยจะหลับ
เพราะตอนเช้าๆ คนงานมาตอกเสาเข็ม ทำหลังคาหน้าบ้าน
ตื่นจริงๆตอนสิบโมงมั้ง ก็ตื่นมาอ่านแดนฝันเหมือนเคย
ยังไม่จบซะที อ่านไปเรื่อยๆ ทีละนิด สนุกดี แต่แปลกที่อ่านรวดเดียวจบไม่ได้
ทั้งๆที่ปกติหนังสือของมูราคามิ เราจะอ่านแบบวางไม่ลง และจบทีเดียว
ช้ากว่านั้นก็สองวันจบ แต่เล่มนี้ หลายวันแล้ว ก็แปลกดี

อาจเพราะเรื่องราวมันซับซ้อน มีรายละเอียดเยอะ
เลยต้องค่อยๆอ่านไปเรื่อยๆ ถ้าอ่านเล่มนี้จบกะว่าจะอ่านแกะรอยแกะดาวต่อ
เพราะมีdance dance dance รออยู่อีกเล่ม ซึ่งเป็นภาคต่อจากแกะรอยแกะดาว

อืม ก็ตื่นมาอ่านไปเรื่อยๆ หลับมั่ง อ่านมั่ง เหมือนเดิม
ลุกจากเตียงมาเปิดคอมทิ้งไว้ ออนเอ็มทิ้งไว้
แล้วสักพักตอนเที่ยงๆก็นั่งคุยเอ็มกับนกเล็ก
วันนี้คุยกันหลายเรื่องเชียว

แต่ที่ฮา เอ๊ะ หรือฮาไม่ออก ตอนที่เราพิมๆอยู่นั้น
คุณนกเล็กซังก็มาบอกทีหลังว่า คุณเนแฟนสุดที่เลิฟนั่งอยู่ด้วย
เยี่ยมค่ะ สาดด แล้วที่เราพูดๆไปทั้งหมดนั่น ก็รู้หมดเลยสินะ
เออ เทคโนโลยีมันไว้ใจไม่ได้จริงๆเลย คนก็ด้วย

อืม แต่ก็ช่างมัน ขำๆ ยังไงก็เกิดขึ้นแล้วล่ะนะ
นอกจากนั่งคุยกับนกเล็กแล้ว ตอนบ่ายแก่ๆ ก็คุยกับบุ๋ม
หลายเรื่อง แล้วพอบุ๋มกลับบ้านไป ตอนที่กำลังกินข้าวอยู่
บุ๋มก็โทรมา บอกว่า โปสการ์ดของเราที่นกเล็กส่งมาให้เราจากปาย
ตอนนี้อยู่ที่บ้านมัน ว้ากกก ไปได้ยังไงวะนั่น

สันนิษฐานกันว่า น่าจะติดประกบกันไป เพราะมันไม่ได้ประทับตราด้วย
แอบเสียดายที่มันไม่ได้ประทับตราจากปายT_T
แต่ก็ตลกดีที่มันบังเิอิญขนาดนั้น ทำไมไม่ติดไปกับคนอื่น
แต่ดันติดไปกับคนที่มีเรื่องเกี่ยวข้องกันอยู่ตอนนี้ 55+

หรือพวกเราสามคนจะมีชะตาต่อกัน ให้ต้องมีเรื่องเกี่ยวข้องกันไปแบบนี้
อืม แปลกดี เมื่อเวลาผ่านไป เรื่องนี้คงเป็นอีกเรื่องที่จดจำได้

โปสการ์ดจากปายแต่ประทับตราที่อุดร
โปสการ์ดที่ส่งไม่ถึงอีกคน แต่กลับไปอยู่ที่อีกคน
และสามคนนี้ก็เกี่ยวเนื่องกันเป็นลูกโซ่

ก็โทคุยกับบุ๋ม หัวเราะๆกันอยู่นาน
แล้วก็บอกนกเล็กเรื่องนี้ ก็ตลกๆ

อืม อยากรู้ว่าเขียนอะไรมา คงต้องรออีกนานเลยแฮะ
แอบลุ้นว่า จะส่งถึงรึเปล่า กลัวหายระหว่างทางจัง

มีไรอีกน้าวันนี้ ก็ไม่มีไรอะ อยู่บ้าน คุยเอ็ม อ่านหนังสือ
กินข้าว หลับๆตื่นๆ

พรุ่งนี้จะไปอ่านสือที่หอของเจี๊ยบ หอที่เราจะไปอยู่สิ้นเดือนนี้แล้ว
พูดเรื่องไปอยู่หอ ก็แอบรู้สึกผิด ที่หาเรื่องให้แม่เสียเงิน
ถ้าเป็นไปได้ จะหามาคืนแม่ให้หมด ที่ออกไปเดือนแรกนี่
เห้อ งานก็ยังไม่รู้ว่าเป็นไง รึว่าต้องไปเป็นผู้ช่วยครูจริงๆก็ไม่รู้
นี่เราจะต้องอยู่ในระบบกฎเกณฑ์พวกนั้นจริงๆหรอวะ
เห้อ ไม่อยากทำอะ อยากอยู่ร้านหนัง

เออ แล้วพี่ก็กลับมาอยู่บ้านแล้วอะ โทรมาพูดกับแม่
แล้วก็มาตั้งแต่เช้าละ มาถึงไม่นานก็ทะเลาะกับแม่เรื่องบ้านเลย
พอเราห้าม ก็แว้ดใส่เรา เหี้ย กูไม่ได้พูดกับมึงซะหน่อย
เราพูดกับแม่ ก็แค่อยากให้หยุดทะเลาะกัน
เอาแต่เถียงกันว่าใครผิดใครถูกอยู่ได้ ที่ไม่อยากอยู่บ้านก็แบบเนี้ย
ไม่อยากฟังคนทะเลาะกันทุกวี่ทุกวัน

ทั้งที่จริงแล้วเราเองก็อยากอยู่บ้าน
มีแม่ทำกับข้าวให้กิน ทำโน่นทำนี่ให้
แล้วเราก็ช่วยแม่ทำงานไป มีความสุขจะตาย
แต่มันติดตรงนี้แหละ ลำพังโดนแม่บ่นไม่เท่าไหร่
เราเงียบๆไป แม่ก็เลิกบ่นเอง แต่กับพี่นี่สิ
พออยู่ด้วยแล้ว ไม่มันทะเลาะกับแม่ ก็มาทะเลาะกับเรา

เกลียดผู้หญิงขี้วีนว่ะ ไม่ฟังเหตุผลเหี้ยไรเลย
เอะอะก็ตัวเองถูกลูกเดียว แล้วก็ว่าใส่คนอื่น

ทำไมต้องมีพี่สาวแบบนี้ด้วยวะแม่ง

เห้อ ช่างเถอะ ยังไงเราก็ต้องออกไปอยู่ดี
ตอนนี้ก็รอๆๆสิ้นเดือน แล้วก็รองาน

เลยว่างจัด แต่ก็มีหนังสือให้อ่านอีกหลายเล่มแหละ
กำลังสนุกเลยด้วย จบแดนฝันแล้วเดี๋ยวจะอ่านไบโอสโคปต่อ
ยังมีอะเดย์อีกเล่มที่ยังไม่ได้อ่านเลย

แล้วตอนนี้ก็เกิดอยากได้หนังสือเกี่ยวกับคุณจิตร ภูิมิศักดิ์มาอ่านอีก
อยากอ่านพวกงานของนักปรัชญาด้วย พวกนิชเช่ ไรงี้

คิดไปคิดมา อยากทำงานในห้องสมุดเหมือนกันแฮะ
อยากเป็นนักเขียนด้วย แต่คงไม่มีความสามารถพอ
เห้อ ไม่รู้ว่าอนาคต เราจะทำงานอะไร
มีอะไรที่อยากทำเยอะแยะไปหมด แต่ก็ไม่รู้จะได้เรื่องมั่งมั้ย

ตอนนี้เอาแค่ว่า เรียนให้จบก่อนดีกว่า อย่าเพิ่งฝันไกล
จากนี้ไปก็ต้องเริ่มอ่านหนังสือสอบแล้วล่ะนะ
อย่ามัวแต่เล่นอยู่ เวลาผ่านไปเร็วสัดๆ

อ้อ น้องที่กระบี่โทรมาหาด้วยล่ะ ไมไ่ด้คุยกับมันนานมาก
มันชวนไปเที่ยวที่หาดใหญ่ด้วย ก็อยากไปอยู่ แต่ไม่มีค่ารถ
แล้วเดือนมีนาต้องไปงานแต่งพี่สาวมัน ที่เป็นรุ่นพี่เรา สนิทกันมากช่วงนึง

ยังไม่รู้เลยว่าจะตรงกับวันสอบมั้ย เพราะเป็นเดือนสอบพอดี
อาจจะไปแค่วันเดียวแล้วรีบกลับ
ทั้งๆที่อยากอยู่เที่ยวนานๆT_T

อืม ก็รอดูกันต่อไป เที่ยงคืนแล้ว เร็วโคดๆ
เดี๋ยวไปอ่านสือต่อดีกว่า แล้วก็ว่าจะพิมเรื่องหญิงสาวในสุญญากาศลงสเปซด้วย
ยาวโคดๆ ไม่รู้จะพิมจบมั้ยวันนี้ เอาเป็นว่าเดี๋ยวก็รู้ ฮ่าๆ

ไปละ วันนี้ไม่ค่อยมีไรเขียนเท่าไหร่
เดี๋ยวพรุ่งนี้มาเขียนใหม่

รุ้งเส้นตรง

เมื่อวานง่วงนอนมาก เลยไม่ได้มาบ่น
วันนี้ก็เลยมาเขียนนี่แล

ก็ตื่นแต่เช้าเพราะคนงานมาเริ่มทำหลังคาหน้าบ้านแล้ว
ตื่นตั้งแต่เจ็ดโมงแน่ะ ยังนอนไม่เต็มที่เลย
แต่ตอนบ่ายๆต้องไปสมัครงาน ก็ไม่ได้นอนต่อ

ลุกขึ้นมาอ่านหนังสือต่อ เปิดคอมอ่านบลอก ดูไฮ5
แล้วก็อ่านหนังสือต่อบนเตียงแบบกึ่งหลับกึ่งตื่น
เปิดเอ็มทิ้งไว้ สักพักนกเล็กก็ทักมา ก็คุยกันนิดหน่อย
นั่งหน้าคอมถึงเที่ยงก็อาบน้ำ แต่งตัวไปสมัครงาน

เชื่อมั้ยว่า จะไปสมัครงานแต่ไม่ไ่ด้เตรียมอะไรล่วงหน้าซักอย่าง
ก็มาหาเอาตอนจะไปนั่นแหละ สำเนาทะเบียนบ้าน วุฒิการศึกษา บัตรประชาชน
เอาไปถ่ายเอกสารตรงเดอะมอล แล้วก็นั่งรถจากเดอะมอลไปคาร์ฟูร์เลย

ไปถึงก็เข้าไปถาม เค้าก็ให้กรอกใบสมัครเหมือนเคย
แล้วบอกจะติดต่อกลับมา เห้ออ ทั้งปีีแหละ ตอนโน้นก็สมัครไป
ไม่เห็นจะติดต่อกลับมาเลยนี่หว่า เซ็งจิต

เออ พอสมัครที่นี่เสร็จ ก็เลยไปดูที่ร้านบลอกบัสเตอร์ตรงห้างท็อป
เห็นเพื่อนมันบอกว่ารับสมัคร แต่พอไปถึง ก็ไม่เห็นมีป้ายเลยว่ะ
สรุปเลยสมัครได้แค่ที่เดียว แล้วก็นั่งรถไปดูหนังที่ลิโด้

เกือบจะไม่ทันแน่ะ เลยเวลาฉายไปห้านาที วิ่งไปซื้อตั๋วแล้วก็เข้าโรงเลย
คนไม่ค่อยเยอะเลยอะ เราเลือกที่นั่งโคดจะกลางจอ ตอนแรกนั่งติดกับผู้ชายวัยทำงานคนนึง
แต่พอหนังเริ่มฉาย เค้าก็ย้ายไปนั่งตรงอื่น แอบคิดในใจ มันคงไม่ได้กลัวเราหรอกนะ

อืม ก็ดูหนังไปเรื่อยๆ rainbow song หนังญี่ปุ่นที่ชุนจิ อิวาอิ อยู่เบื้องหลัง
หนังของเฮียชุนจิ เราชอบทุกเรื่องอยู่แล้ว ภาพมันฟุ้งดี เรื่องก็มีหลายอารมณ์
เฮียแกจะทำหนังให้หม่นก็หม่นสุดๆ จะทำให้ซึ้งก็ซึ้งโคดๆ

พระเอกเรื่องนี้ก็เป็นตัวเอกในหนังของชุนจิ เรื่อง all about lily chou chou
ส่วนน้องนางเอก ก็มาจากเรื่องเดียวกัน นางเอกญี่ปุ่นคนที่เราชอบที่ชื่อ ยู อาโออิ
อยากดูหนังเรื่องฮุลาเกิร์ลที่เค้าเล่นอ่า ยังไมได้ดูเลย
แต่ตัวนางเอกนี่สิ ว้ากก โคดชอบ

เท่มากเลยอะ น่ารักได้อีก ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลยแฮะ
อยากรู้จังว่าชื่ออะไร เดี๋ยวลองไปหาดู

ตัวหนังก็ดีนะ ภาพสวย ฟุ้งสมใจ
แต่รู้สึกว่าพระเอกตอนที่เล่นเรื่องก่อนกับเรื่องนี้
ดูแล้วเรื่องก่อนน่ารักกว่าเยอะเลย พอโตแล้วไม่น่ารักอะ

อืม มีหลายๆฉากที่ชอบ อย่างฉากที่แฟนพระเอกใช้มุกโทรหาหัวใจเพื่อจีบพระเอก
โคดจะฮาเลย จะมีใครจำเอาไปใช้จีบสาวบ้างปะวะ ฮ่าๆ

อยากดูอีกรอบละเนี่ย ชวนใครไปดูดีหว่า ดูคนเดียวบางทีก็เหงาแฮะ
อืม พอดูเสด ก็เดินออกมา ไปจ่ายค่าน้ำค่าไฟให้แม่ที่7-11
แล้วตอนจะขึ้นบีทีเอสกลับบ้าน ก็ยืนสูบบุหรี่อยู่ เห็นคนขอทานพ่อกับลูกสาวสองคน
คนพ่อนั่งเป่าเม้าออแกน เลยยืนฟัง ที่จริงเราว่าเค้าไม่ใช่ขอทาน
เพราะเค้าเอาเสียงดนตรีแลกเงิน เพียงแต่ลักษณะภายนอกดูเหมือนขอทานทั่วๆไปเท่านั้นเอง
เราว่า เราควรจะเรียกเค้าว่า คนเล่นดนตรีจะดีกว่า

อืม เราก็ยืนฟังอยู่นาน แล้วก็ตัดสินใจเดินไปซื้อน้ำส้มกับขนมปัง
มาให้พวกเค้าแบ่งกันกิน เงินสามสิบกว่าบาทกับเงินร้อยบาทที่ดูหนัง
มันเทียบกันไมไ่ด้เลยว่ามั้ย ตอนขึ้นบันไดเลื่อน มองลงไปตรงนั้น
เห็นเด็กคนพี่เอาขนมออกมา ส่วนพ่อก็เปิดขวดน้ำส้ม
รู้สึกดีที่อย่างน้อยเค้าก็ได้กินขนมที่เราให้
มองจนสุดบันไดเลื่อน แล้วก็เดินขึ้นรถไฟฟ้าไป

เมื่อวานไม่รู้ทำไมรู้สึกเหม่อลอยแปลกๆ
จะเอาหนังสือไปคืนนกเล็กก็โทรไปไม่รับ
พอถึงอนุสาวรีย์ ก็ไม่รู้จะทำไง เพราะมันเลยสี่โมงแล้ว
ก็หอบหนังสือกลับ ระหว่างเดินก็หยิบมือถือมาถ่ายรูปป้ายไฟ
รอบๆอนุสาวรีย์ ทั้งป้ายแคนน่อน โรงบาล เซ็นเตอร์วัน

ป้ายพวกนี้มองตอนกลางคืนแล้วสวยดี
เหมือนกับดาวเรืองแสงลอยกลางท้องฟ้า
มีทั้งสีเขียว เหลือง แดง

อ้อ ถ่ายเลขสัญาณไฟแดงมาด้วยล่ะ
แถมตรงจังหวะกับเลขยี่สิบสองพอดีเลย
กะแล้วว่าต้องกดถ่ายตอนมันถึง23
รู้สึกดีที่ได้เห็นเลขโปรดของตัวเองบนสัญาณไฟ:)

อืม ก็นั่งรถเมล์กลับบ้าน สองต่อ แต่รถไม่ติดเลย
แวะซื้อกับข้าวที่บิ๊กซีไปกินกับแม่
ถึงบ้านตอนสามทุ่มครึ่ง กินข้าวกับแม่
แล้วก็นั่งเปิดบลอกเหมือนเคย พอเที่ยงคืนก็ง่วงนอน
แต่ก็นอนอ่านหนังสือสักพัก ก็หลับ

อืม แล้วก็ตื่นมานั่งเขียนนี่แหละ

ไปกินข้าวแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้มาเขียนใหม่
เออ แต่แม่ซื้อก๋วยเตี๋ยวมา ไม่ใช่ข้าว ฮ่าๆ
นั่นแหละ ไปกินก่อนละ

20 มกราคม 2551

ความไม่ลงรอย

วันนี้ตื่นสายกว่าทุกวัน เพราะเป็นวันหยุด
หลายวันแล้วที่ตื่นเช้าไปทำงาน เลยนอนเต็มที่เลย
ที่จริงก็ตื่นตั้งแต่ตอนเก้าโมงแล้วล่ะ แต่ก็ยังไม่ลุกจากเตียง

นอนอ่านแดนฝันปลายขอบฟ้า
อ่านไปแล้วก็ง่วง ง่วงแล้วก็นอนต่อ
เพราะนอนสักพักก็ตื่น ตื่นแล้วก็อ่านต่อ

จนเกือบๆเที่ยง ก็ลุกไปนั่งเล่นคอม ดูโน่นนี่
แล้วก็อาบน้ำ รอแม่กลับมาจากหาดใหญ่

แม่มาถึงช้ากว่าที่คิด แต่ตอนมาถึง เราก็อาบเสร็จพอดี
แม่นั่งพัก เล่าเรื่องระหว่างที่อยู่ที่โน่นกับแฟนให้ฟัง
แล้วแม่ก็ขับรถพาเราไปจ่ายเงินค่าจองหอ
ทีแรกจะทำสัญญาเข้าอยู่เลย แต่เค้าบอกว่าไม่ได้
ให้จ่ายเงินจอง แล้วค่อยมาทำสัญญาตอนเข้าอยู่จริง

ก็เป็นอันว่า สิ้นเดือนนี้ เราจะย้ายไปอยู่หอแล้วล่ะนะ

ก่อนกลับบ้าน บอกแม่ให้แวะที่เดอะมอลหน่อย
เราจะซื้อกางเกงของแม็คสักตัว
ตอนแรกว่าจะซื้อ ขาสามส่วนที่เล็งไว้ แต่จำราคาผิดเป็นหกร้อย
ที่จริงมันแปดร้อยกว่าๆเกือบเก้าร้อยน่ะนะ

พอไปดูเลยเกิดเปลี่ยนใจ เพราะเห็นขายาวสีดำอีกตัวนึง
ราคาพันกว่าบาท ต่างกันไม่เท่าไหร่เอง
เลยตัดสินใจซื้อขายาว เพราะจะได้ใส่ไปทำงานได้ด้วย

เราจะจ่ายเองทั้งหมด แต่แม่ก็ออกให้มาสามร้อย
ทำให้เราคิดว่า ไม่ว่าเราจะทำไม่ดีกับแม่ยังไง แม่ก็รักเราเสมอเลย
รู้สึกผิดนิดๆ ที่จะทิ้งแม่ไปอยู่ที่อื่น

อ้อ กางเกงได้ลดสิบเปอเซ็นต์ด้วย เพราะแม่เอามือถือไปแลกคูปอง ได้ส่วนลดมา
เสียดายที่เราไม่ได้ใช้จีเอ็สเอ็ม ไม่งั้นก็ได้อีกใบ
ส่วนลดมันมีตั้งแต่สิบถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์เลยนะ

ตกลงว่าจ่ายค่ากางเกงไปทั้งหมดเก้าร้อยกว่าบาท
กางเกงสีดำ ขากระบอกธรรมดานี่แหละ อยากได้มานานแล้ว
แต่ว่าขามันยาวไปนิด สงสัยอาจต้องไปตัดออกนิดนึงมั้ง

เออ ลืมไป ตอนที่หาที่จอดรถในห้าง
เนื่องจากวันนี้มันเป็นวันอาทิตย์ใช่ปะ รถก็เลยเยอะมาก
แล้วแม่ก็หาที่จอดรถอยู่นาน จนฟลุคไปเจอที่นึงว่าง
แล้วจังหวะที่กำลังดีใจกัน จะถอยรถจอด แม่ก็มัวแต่ดูข้างหน้า
จนลืมดูรถข้างหลังที่จอดอยู่ เลยชนไปนิดนึง ได้ยินเสียงชนเลยล่ะ
พอเราบอกแม่ว่าชนแล้ว แม่เลยรีบขับไปที่อื่นเลย

เราก็กลัวสุดๆ ว่าเค้าจะตามเจอ เพราะมันน่าจะมีกล้องวงจรปิด
แต่จะบอกว่าเห็นแก่ตัวก็ได้มั้ง เพราะแม่ยังไม่ได้ไปต่อประกันรถ
เลยต้องรีบขับหนีไป ซึ่งพอขับมาจอดที่อีกชั้นนึงก็ลงมาดูท้ายรถ
ปรากฎว่า มีรอย ถลอกๆนิดเดียว ไม่บุบแบบที่คิดไว้
คาดว่ารถวีออสสีดำคันนั้นก็คงจะเป็นรอยนิดหน่อยเช่นกัน
ถ้าไม่สังเกตก็อาจจะไม่รู้ว่าโดนชน

เรื่องชนแล้วหนีนี่ เราเคยทำมาแล้วครั้งนึง
ตอนนั้นขี่มอไซค์ชนกับมอไซค์อีกคัน จนคนขับตกใจทิ้งรถ
แล้วก็กลิ้งตกถนนต่อหน้าเรา พอเค้าลุกนั่งขึ้นมา ก็เป็นลมสลบไปเลย
เราตกใจมาก แล้วก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็ลงไปดูกับรุ่นพี่คนนึงที่นั่งมาด้วย
แล้วก็ไปตามคนที่โรงแรมที่เค้าทำงานอยู่ บอกว่าคนเค้าโดนรถชน
แล้วเรากับรุ่นพี่ก็กลับบ้านกันมา โดยไม่มีใครรู้เลยว่า เราเป็นคนชน
เพราะตอนนั้นไม่มีคนเห็นเหตุการณ์เลย มีแต่คนบอกว่า รถล้มเอง

ตอนหลังได้ข่าวว่าเค้าไม่เป็นอะไร แค่ตกใจเลยเป็นลม
รู้แบบนั้นแล้วก็สบายใจที่เค้าไม่เป็นอะไร
แต่รู้สึกไม่สบายใจที่หนีมา ซึ่งถ้าเป็นตอนนี้คงไม่หนี
แต่ตอนนั้นเราเด็กมาก แล้วก็กลัว ไม่มีเงินด้วย

มันอาจเป็นข้อแก้ตัวแย่ๆสำหรับคนที่ทำผิดแล้วไม่กล้ารับผิด
เรายอมรับ แต่เรื่องบางอย่าง เมื่อเกิดขึ้นแล้ว บางทีมันก็จัดการไม่ได้
เพราะความขี้ขลาดของเราเอง

หวังว่าต่อไปถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นอีก เราจะกล้ารับผิดชอบต่อสิ่งที่เราทำ

กลับมาเรื่องปัจจุบัน หลังจากที่ซื้อกางเกงเสร็จ ก็รีบกลับบ้าน
กลับมาถึงก็ไม่มีอะไร ดูละครหลังข่าวเรื่องใหม่
ออนเอ็ม เช็คไฮ5 อ่านบลอก กิจกรรมหลักตอนนี้ของเรานั่นแหละ
นอกจากการอ่านหนังสือแล้วล่ะนะ

อืม แล้วก็เล่นกีต้าร์ด้วยล่ะวันนี้
ไมไ่ด้เล่นมานานมากแล้ว เป็นเดือนแล้วมั้ง
แต่อยู่ดีๆก็อยากเล่นขึ้นมา
ก็หาเพลง เพียงเธอ ของ สุกัญญา มิเกล
เพราะอยากจะเอาเพลงนี้ไปเล่นเปิดหมวก
ร้องไปเรื่อยเปื่อย จนเปิดบลอกไอ้บี
แล้วก็คุ้นๆว่า เพลงที่มันเปิด คือเพลงเดียวกับที่นกเล็กเปิด

ฟังไปฟังมา ปรากฎว่า คอร์ดที่เราจับอยู่ แล้วกำลังเล่นอยู่
มันเป็นคอร์ดเริ่มต้นของเพลงนี้นี่หว่า
เลยลองแกะดู ปรากฎว่าใช่จริงๆ บีไมเนอร์
เราเลยลองเล่นไปเรื่อยๆ เพราะดีจริงๆแหละแบบที่นกเล็กบอกเลย

ก็รู้สึกดีที่บังเอิญเล่นเพลงนี้ได้
อยากเล่นให้ฟังทั้งคู่เลย ทั้งบี ทั้งนกเล็ก
แต่ก็คงยากแหละนะ ที่จะเล่นให้ทั้งสองคนได้ฟังพร้อมๆกัน

อืม แล้วพอเล่นจนเบื่อแล้ว ก็ไปนอนดูละครต่อ
อยู่ๆ ก็มีเสียงของแม่ดังลอยมาจากข้างบน
พยายามฟังว่าแม่พูดอะไร แล้วก็จับใจความได้ว่า
แม่กำลังด่าพี่เราอยู่ เรื่องอะไรบางอย่างที่ไม่ค่อยดีนัก
มีเสียงปิดประตูดัง ปัง! หลายครั้งหลายหน
แต่ไม่ได้ยินเสียงพี่เราโต้ตอบเหมือนเคย
เพราะพี่เราหนีเข้าห้องนอนเค้า แล้วก็ไม่ยอมคุยกับแม่
ปล่อยให้แม่โกดหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่คนเดียว

ก็คงจะเป็นเรื่องเดิมๆน่ะแหละ เรื่องที่พี่ยืมเงินแม่ไปลงทุนขายของ
แต่ยังไม่ทันไรก็็เลิกขายซะแ้ล้ว ไหนจะเงินที่ยืมไปจ่ายค่ามอไซต์อีก
แล้วที่แม่โกด ก็คงเป็นเพราะ พี่เราไม่มีทีท่าว่าจะสู้งานเลย
แฟนพี่เราก็ย้ายมาอยู่ที่บ้านด้วย แถมยังไม่มีงานทำ
แม่ก็กลุ้มใจเรื่องนี้แหละ เพราะถ้าให้เลี้ยงทั้งคู่ก็คงไม่ไหว
ลำพังแค่ค่าบ้านค่ารถ ก็กว่าจะหามาจ่ายได้ เหนื่อยกว่าใครทั้งหมด

เราเองก็รู้ดี การที่ออกไปอยู่หอ ก็รู้ว่ามันเปลือง คิดว่าจะพยายามอยู่ได้ด้วยตัวเอง
จะไม่ทำให้แม่เดือดร้อน จะไม่ขอเงินแม่ถ้าไม่ลำบากสุดๆจริงๆ

สงสารแม่มาก ไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น
เพราะได้ยินแม่ไล่พี่ออกจากบ้านหรืออะไรสักอย่าง
แล้วแม่คงน้อยใจ เพราะได้ยินว่า พี่เป็นห่วงแต่แฟนไม่ห่วงแม่
เราเองก็เข้าใจความรู้สึกนี้ดี เพราะเรารู้สึกแบบนั้นมาตลอด
ตั้งแต่ที่พี่เรามีแฟนมา เราเองก็รู้สึกเหมือนคนนอก
ไม่ว่าจะทำอะไร ดูเหมือนพี่จะแคร์แฟนเค้ามากกว่า
ซึ่งบางคนอาจคิดว่าถูกต้องแล้ว ก็แฟนเค้านี่
แต่สำหรับเรา ครอบครัวก็สำคัญไม่น้อยไปกว่าคนรักหรอกนะ
ยังไงก็จะต้องดูแลครอบครัวตัวเองด้วย ไม่ใช่ว่าจะดูแลแต่คนรักของตัวเอง

แต่เรื่องแบบนี้ มันก็พูดยาก ต่างคนต่างความคิด
พอเราดูละครจบ พี่เราก็ลงมาจากข้างบน ขนของบางอย่าง
ออกจากบ้าน นั่งรถไปไหนไม่รู้
ก็คงจะไปนอนกับแฟนล่ะมั้ง เพราะไม่เห็นแฟนกลับมาที่บ้าน

เรื่องถึงขนาดนี้แล้ว แต่เรากลับทำได้แค่นั่งเขียนบลอก
แทนที่จะขึ้นไปดูว่าแม่เป็นยังไงบ้าง
เราเองก็ไม่ใช่ลูกที่ดีอะไรเลยสักนิดเดียว
อาจจะไม่ต่างกับพี่เราก็ได้ ที่ไม่สนใจความรู้สึกของคนเป็นแม่

เราว่าแม่คงยังไม่หลับ คงหลับไม่ลง
ใครที่ทะเลาะกับลูก แล้วรู้ว่าลูกออกจากบ้านไป
ก็คงหลับไม่ลง แต่ก็ไม่แน่ เพราะวันนี้แม่เราเพิ่งเดินทางมาถึง
แล้วยังขับรถพาเราไปโน่นนี่ กว่าจะกลับก็มืดค่ำ
อาจจะเหนื่อยจนหลับไปแล้วก็ได้

ทำไมครอบครัวเราต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ
ทั้งๆมีกันแค่สามคนแม่ลูก แต่ไม่เรากับพี่ทะเลาะกัน
ก็แม่กับพี่ทะเลาะกัน หรือไม่งั้นเราสามคนก็ทะเลาะกัน
ยากมากที่เราจะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ
มันเพราะอะไรกันนะ อารมณ์ เหตุผล ใจร้อน
เพราะเราต่างไม่เข้าใจกันและกันอย่างนั้นหรือ

เราสามคนจะไม่สามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้ตลอดชีวิตนี้หรือ
เราไปทาง พี่ไปทาง แล้วคนที่เสียใจที่สุดคือใคร แม่เราเองน่ะสิ
ผู้หญิงที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อลูกสองคนเพียงลำพัง
แต่สุดท้ายแล้ว กลับต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว
ในบ้านที่ซื้อหามาด้วยความลำบาก เพื่อที่จะให้ทุกคนได้อยู่ด้วยกัน
แต่กลับต้องมาอยู่คนเดียวแบบนี้

เราไม่รู้ว่าต้องทำยังไง เพราะเราเองก็เห็นแก่ตัว
อยากได้ชีวิตที่อิสระเสรี ไม่มีใครมาคอยควบคุมห้ามปราม
แล้วเราก็ไม่สามารถยอมรับที่จะอยู่ร่วมกับพี่เราได้

บางที เราอาจต้องปล่อยให้มันเป็นไป
บางที มันอาจถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้
บางที การอยู่ห่างกันอาจดีที่สุดสำหรับเราสามคน
บางที เมื่อถึงเวลานึง เราอาจได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
และบางที เวลาที่ว่านั้น อาจไม่มีวันมาถึง




ปล.พรุ่งนี้จะไปสมัครงานร้านซึทาย่าที่คาร์ฟู
แต่ยังไม่ได้เตรียมอะไรเลยสักอย่าง
รูปถ่ายก็ไม่รู้ว่ายังมีอยู่รึเปล่า ตกลงจะได้เรื่องมั้ยวะเรา--'

19 มกราคม 2551

หญิงสาวในสุญญากาศ

วันนี้ตื่นแต่เช้า ออกจากบ้านไปทำงาน
งานเยอะเหมือนเดิม แต่สุดท้ายก็เสร็จทันกำหนด
เหลือแค่งานแก้ที่ค้างไว้ทำต่ออาทิตย์หน้าได้

แม่โทรมา บอกบินกลับกรุงเทพพรุ่งนี้บ่าย
กะว่าจะเอาเงินไปจองหอกับแม่พรุ่งนี้เลย
ทีแรกที่ว่าจะไปสระบุรี ไปรับมะมากรุงเทพกับเจี๊ยบเลยไม่ไปแล้ว

ที่จริงก็ไม่อยากไปตั้งแต่แรกแล้ว เพราะอยากอยู่บ้านอ่านหนังสือมากกว่า
วันนี้พอกลับมาถึงบ้าน ก็เช็คไฮ5นิดหน่อย เปิดบลอกดู
แล้วก็หยิบลัชมาอ่านต่อจนจบ

ติดใจเรื่องสั้นที่อยู่ในเล่ม

ชื่อว่า "หญิงสาวในสุญญากาศ"

คนเขียนใช้นามปากกาว่า *มาญา

จำไม่ได้ว่าอยู่ในเล่มก่อนๆด้วยรึเปล่า
เลยหยิบเล่มก่อนหน้ามาเปิดดู ปรากฎว่าใช่จริงๆ
แต่เล่มก่อนของก่อนหน้านั้นอยู่ที่มุกข์
เลยไม่รู้ว่า มันมีทุกเล่มรึเปล่า

แต่กลับไปอ่านเล่มก่อนหน้าเล่มล่าสุด
ถึงได้เข้าใจเรื่องราวในเล่มล่าสุดมากขึ้น
เพราะมันเป็นเรื่องที่ต่อกันจากคราวก่อนๆ

ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่รู้สึกว่า อ่านงานของคนนี้
แล้วได้อารมณ์ฟุ้งๆ เหมือนกับเวลาอ่านงานของมูราคามิ

ที่ำสำคัญ ตัวละครที่ชื่อ มาญา มีบางอย่างที่คล้ายๆเรา
หรือเรียกอีกอย่างคือ มีหลายอย่างที่เราอยากเป็นคล้ายๆกับมาญา

นั่งอ่านลัชนอกบ้าน ตรงที่นั่งไม้ บรรยากาศดี เงียบสงบ
มีเสียงจิ้งจกร้องเป็นบางครั้ง นานๆที
อ่านไปสูบบุหรี่ไป รู้สึกมีสมาธิในการอ่าน
หรืออาจคิดไปเองก็ได้ ที่จริงบุหรี่อาจไม่ช่วยอะไรเลย

แต่สำหรับเรา การได้เห็นควันบุหรี่ลอยผ่านหน้าไปช้าๆ
ลอยขึ้นไปข้างบน หรือ ลอยตกลงสู่เบื้องล่าง
ภาพนั้นมันทำให้เรามีอารมณ์ในการอ่านมากขึ้น

แต่ยุงหน้าบ้าน ก็ทำให้เรายอมแพ้ ต้องกลับเข้าไปอ่านต่อในบ้าน
บนเตียงสีแดงที่เรานอนประจำ นึกอยากได้เตียงนี้เป็นของตัวเอง
ที่จริงมันไม่ใช่เตียงหรอก แต่เป็นโซฟาที่ปรับนอนได้
และเราก็ยึดมันเป็นที่นอนของเราไปโดยปริยาย
ปล่อยให้เตียงของเราจริงๆที่อยู่บนห้องชั้นบน
ต้องตั้งอยู่อย่างนั้น โดยไม่มีใครสนใจอยากจะเข้าไปนอน
นานๆครั้ง แม่เราก็จะเข้าไปเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้

พูดถึงหนังสือลัช ไม่รู้ว่ามีคนตามอ่านมากน้อยแค่ไหน
แต่อย่างน้อยก็มีเราคนนึงล่ะที่อ่าน
ชอบเพราะ มันราคาไม่แพง แต่เนื้อหาในเล่มมันเกินราคามาก
น่าเสียดายถ้าหากมันจะหายไปจากแผงหนังสือ
เพราะการหาหนังสือที่เกี่ยวกับแวดวง วรรณกรรม ศิลปะ ดนตรี
หนังสือที่รวมหลายๆอย่างเข้าไว้ด้วยกันแบบนี้ หายากในราคา35บาท

ถึงเล่มจะบาง แต่เนื้อหาคับเล่ม
อยากให้มีคนซื้ออ่านกันเยอะๆจัง

เรื่องสั้น หญิงสาวในสุญญากาศ เราคิดว่า
อยากจะให้คนๆนึงได้อ่าน เราว่าเค้าน่าจะชอบ
แต่ไม่รู้ว่าจะเคยอ่านไปแล้วรึยังน่ะสิ

อยากอ่านตอนต่อไปแล้วอะ ไม่รู้เมื่อไหร่จะออกอีก
อ่านท้ายเล่ม เห็นเค้าว่า หนังสือลัชจะออกแค่ปีละสองครั้ง
กว่าจะได้อ่านคงรออีกนานเลย

อืม พออ่านลัชจบทั้งสองเล่ม เราก็อ่านเรื่องสั้นที่เป็นการ์ตูน
เรื่อง หัวแตงโม น่ะ เล่มสองที่ซื้อมาวันก่อน
ตอนนี้เป็นหนังสือการ์ตูนหนึ่งในสามเรื่องที่เราชอบ
มันเกี่ยวกับปรัชญาในการใช้ชีวิต
ทั้งเรื่อง ความรัก สังคม การทำงาน หลายๆอย่างเลย
มันให้ข้อคิดกับเรามากมายเหลือเกิน

ดีใจที่เล่มแรกที่เราได้มา เป็นเล่มที่พี่องอาจ นักเขียนเจ้าของผลงาน
ส่งมาให้ด้วยตัวเอง แถมลายเซ็นต์ด้วย
ถ้าไม่ได้เขียนบลอกอีกที่นึง ก็คงไม่มีโอกาสได้้รู้จักกัน

อยากเจอตัวจริงพี่เค้า แล้วอยากบอกเค้าว่า เราชอบการ์ตูนของเค้ามาก
อ่านแล้วรู้สึกดี รู้สึกดีมากๆ

อ้อ การ์ตูนอีกสองเรื่องคือ การ์ตูนของ อัพ ทรงศีลแล้วก็ ตั้ม วิสุทธิ์
สองเรื่องนั้นก็เกี่ยวกับ ปรัชญา ชีวิต สังคม

เพิ่งสังเกตเห็นว่า ตัวเราเอง ชอบเรื่องแบบนี้มาก
เรื่องของชีวิต เรื่องของมนุษย์
ถ้ารู้เร็วกว่านี้ก็ดีหรอก จะได้เรียนทางนั้นไปเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปเรียนนิติซะตั้งนาน แต่อย่างน้อยการเรียนกฎหมายก็ได้อะไรหลายอย่างแหละนะ
ก็ไม่ได้เสียใจอะไรมาก ตอนนี้ก็ได้เรียนอย่างที่อยากเรียนแล้วไง

วันนี้ถ้าไม่ง่วงซะก่อน ก็จะเริ่มอ่านแดนฝันปลายขอบฟ้า ซะหน่อย
แล้วพรุ่งนี้ก็คงตื่นมาอ่านต่อ แต่คงไม่จบง่ายๆ
เพราะเดี๋ยวต้องออกไปข้างนอกกับแม่อีก

ชักเริ่มจะง่วงแล้ว วันเสาร์ทีไรง่วงเร็วทุกที เพราะตื่นเช้าทำงานตลอดทั้งวัน
อยากอ่านหนังสือเกี่ยวกับ จิตร ภูมิศักดิ์ เห็นมุกข์บอกว่ามีอยู่ที่บ้าน
จะโทรไป ก็ไม่รู้หลับยัง เอาไว้ค่อยโทรวันอื่นละกัน
เพราะลัชเล่มก่อนๆก็อยู่ที่มุกข์ ว่าจะเอาคืนซะที อยากอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นน่ะ

จะว่าไป หนังสือเราก็อยู่ที่คนอื่นเยอะเหมือนกันแฮะ
โดยเฉพาะของมูราคามิ
แถมอยู่กับเด็กนิเทศทุกคน
เริ่งระบำแดนสนธยา อยู่ที่นกเล็ก ซื้อมายังไม่ไ่ด้อ่านเลย
สดับลมขับขานอยู่ที่ ชุ เล่มนี้อ่านจบแล้ว
แล้วก็ เรือเชื่องช้าสู่เมืองจีนอยู่ที่มุกข์ อ่านจบแล้วเหมือนกัน

ยังไม่นับอีกสองเล่ม ฮีชีอิทสิบที่ชุ
แล้วก็ปราบดาเขียนถึงญี่ปุ่น อยู่ที่อัฐ

รวมแล้วห้าเล่มสินะ

ตอนนี้รู้สึกว่า ตัวเองกำลังเสพติดตัวอักษรขั้นเริ่มต้น

อยากอ่านหนังสือเยอะแยะไปหมด
อยากมีเวลานานๆ นานพอที่จะอ่านหนังสือที่อยากอ่านได้
อยากเจอห้องสมุดที่คนน้อยๆ หนังสือเยอะๆ
แล้วก็เข้าไปขลุกอยู่ในนั้นทั้งวันทั้งคืน

ง่วงนอนจริงๆแล้ว น้ำก็ยังไม่ไ่ด้อาบ
คงต้องไปอาบน้ำแล้วล่ะเรา
พรุ่งนี้จะตื่นมาอ่านต่อแต่เช้าเลย

ไปอาบน้ำละ :p

18 มกราคม 2551

ซึทาย่าVSคุมอง

วันที่สอง สำหรับบ้านใหม่*


เมื่อวานเขียนเรื่องที่มาของชื่อบลอกไปแล้ว
ต่อจากนี้ ก็จะมีแต่เรื่องของตัวเราเองล้วนๆ
คงไม่มีสาระอะไร เพราะถ้ามีสาระ จะไปเขียนอีกบลอกนึงละกัน


วันนี้ก็ไปทำงานตอนบ่าย หลังจากที่ต้องตื่นไปทำตอนเช้าติดๆกันหลายวันแล้ว
ที่จริงก็อยากทำตอนเช้าอีกนะ เพราะได้เงินเยอะดี
แต่ถ้าบ่อยๆก็อาจจะเบื่อมั้ง ไม่รู้เหมือนกัน

ก็ทำงานเหมือนเดิม งานไม่หนัก ไม่เหนื่อย
วันนี้เลิกเร็วด้วย เพราะเด็กเสร็จเร็ว กลับกันเร็ว

ก่อนกลับบ้านครูก็ถามเรื่องงาน บอกว่าอีกหน่อยครูอีกคนก็ไม่อยู่
เราก็มาทำแทนได้ ถ้าไม่เบื่อซะก่อน

แต่ว่าเราอยากไปทำที่ร้านหนังแล้วอะดิ

อยากดูหนังฟรี!!

แล้วอีกอย่าง ถ้าได้งานที่ร้านเช่าหนังจริงๆ มันก็ใกล้หอ
เดินไปก็ถึง ไม่ต้องเสียเงินค่ารถ ไม่ต้องเดินทางไกล

แต่งานที่คุมองก็สบาย ทำมานานแล้วด้วย
เงินก็ดี จริงๆอยากทำทั้งสองที่เลย
แต่ไม่รู้ว่าที่ร้านเช่าหนังจะให้หยุดวันไหนได้บ้าง

อย่างน้อยๆถ้าได้หยุดวันเสาร์มาทำคุมอง ก็คงจะดีมาก
เห้อ ลังเล ไม่รู้จะตัดสินใจยังไงดี

ก็บอกครูเค้าไปว่าขอคิดดูก่อน
จะลองไปสมัครงานที่ร้านนั้นแล้วดูว่าจะต้องอะไร ยังไงบ้าง

เพราะถ้าไม่ทำงานทุกวัน จะหาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าหอ
สิ้นเดือนนี้ก็จะย้ายแล้ว อย่างน้อยๆต้องมีเงินไว้จ่ายค่าหอสามพันกว่า
ค่าน้ำไฟ ค่าเน็ต แล้วไหนจะค่ากินอีก ไม่อยากขอตังค์แม่ถ้าไม่จำเป็น

เดี๋ยววันอาทิตย์นี้ก็ต้องเอาเงินไปวางจองแล้ว
แอบตื่นเต้นที่จะได้ไปอยู่หอคนเดียวอีกครั้ง
หลังจากที่อยู่คนเดียวในบ้านมานาน

ที่ไปดูห้องมาวันนั้นก็โอเคเลย ตอนแรกไม่อยากเอาเฟอร์ แต่เค้าบังคับอะ
ซึ่งก็ดี ไม่ต้องขนอะไรไป เอาแต่เสื้อผ้า หนังสือ กีต้าร์ แล้วก็พวกของใช้จำเป็นไป

คราวนี้จะไปไหน กลับดึก ยังไงก็ไม่ต้องกลัวตกรถแล้ว
จะสูบบุหรี่ กินเหล้า ก็ทำได้ ไม่ต้องสนใจใคร

เวลาอ่านหนังสือ ก็อ่านเงียบๆได้
จะเล่นกีต้าร์ ก็เล่นได้

อิสระเสรี ที่จะทำอะไรก็ได้อย่างที่ต้องการ
แต่ก็แลกกับความลำบาก เหนื่อยที่ต้องทำงาน
ซึ่งมันก็คุ้มค่า เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับชีวิตเรา
ก็คือ อิสระภาพ

เรายอมเหนื่อยกาย ดีกว่าเหนื่อยใจ
อยู่กับผู้คนที่ไม่เคยเข้าใจเรา

ก็สงสารแม่ที่อุตส่ากลับมาอยู่บ้าน
แล้วกลายเป็นว่า เราดันออกไปอยู่ที่อื่นแทน
แต่จะให้ทำไงได้ ในเมื่อบ้านนั้นมีคนที่เราไม่อยากอยู่ด้วย

เหมือนที่เค้าพูดกันแหละ ว่าคับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก

หลังจากนี้ชีวิตเราจะเป็นยังไงต่อไปนะ
ในเมื่อตัดสินใจออกจากบ้าน ไปอยู่เองตามลำพังแบบนี้
แล้วต้องทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองให้ได้ด้วย

หวังว่าคงทำได้ ไม่ทำให้แม่ลำบาก

เห้อ ทนรอให้ถึงสิ้นเดือนไม่ไหวแล้ว อยากย้ายเต็มที
อีกสิบกว่าวันแน่ะ อืม รอก่อนนะ อิสระภาพของชั้น


วันนี้ ซื้อหูฟังเอ็มพีสามไป60บาท ก็ดีนะ แต่เสียงเบาไปนิด
เห็นว่ามันเป็นแบบสวมหัว อยากได้นานละ เอามาใช้แก้ขัดไปก่อน
เพราะฟังหูเดียว เซ็งมานาน

ซื้อ A day เล่มล่าสุดมา หน้าปกมหาตมะ คานธี
เปิดอ่านดูแว้บๆ เพราะไม่มีเวลา เห็นสัมภาษณ์พี่ริคข้างในด้วย
เดี๋ยวมีเวลาจะอ่านต่อ

แล้วเมื่อวานก็ซื้อหนังสือไปสามเล่ม Lush เล่มล่าสุด หน้าปก วสันต์ สิทธิเขตต์
แดนฝันปลายขอบฟ้า ของ มูราคามิ แล้วก็ หัวแตงโม ของ พี่โตโต้

เนี่ยนะ ทำงานได้เงินมาเยอะแยะ แต่ก็หมดไปกับของพวกนี้แหละ
ซึ่งก็คุ้มค่า ดีกว่าเอาเงินไปกินเหล้าใช่มะ ที่จริงก็เกือบไปกินเหล้าละ
แต่โทรหาไอ้ชุแล้วดันเรียนอยู่ โทรหาคนอื่นๆ ก็ไม่ว่าง
เลยเดินเข้าร้านหนังสือ เจอหนังสือที่อยากได้เพียบเลย
แต่ก็ตัดสินใจซื้อสามเล่มนี้มาก่อน ที่ดูๆไว้ว่าจะซื้อ อีก ก็มีศาสดาเบสเซลเลอร์
กับโลกของเราขาวไม่เท่ากัน คาดว่าจะซื้อคราวหน้าที่เดินเข้าร้านหนังสือล่ะ

สรุปแล้วสองสามวันมานี่ก็ใช้เงินไปเกือบๆพันเลยนะ
หนังสือก็ปาเข้าไปห้าร้อยกว่าบาทละ
ตอนแรกที่จะเอาเงินไปซื้อกางเกงยีนส์ของแมค ก็มีอันต้องเว้นไปก่อน
ไว้เก็บเงินได้ใหม่ แล้วจะซื้อให้ได้ซักตัว

อ่อ แล้วเมื่อวานแม่ก็ซื้อกรอบแว่นให้ด้วย ยังไม่เห็นเลยว่าหน้าตาเป็นไง
กลัวแม่จะเลือกมาไม่ถูกใจ เพราะมันเป็นแบบนั้นตลอดแหละ
เรามันพวกรสนิยมแปลกประหลาด แม่ไม่เคยเลือกให้ตรงกับที่เราชอบได้ซะที
แต่เดี๋ยวต้องไปวัดสายตาใส่เลนส์อีกที
ตอนนี้ชักรำคาญคอนแทคเลนส์อีกละ ทั้งที่เพิ่งกลับมาใส่ได้ไม่ีกี่วันเอง
เบื่อที่ต้องคอยหยอดน้ำตาเทียมตลอด เพราะไม่ังั้นก็จะแสบตา ตาแห้ง

สงสัยต้องกลับไปใส่แว่นเหมือนเดิมซะล่ะมั้ง
เซ็งจัง เกิดมาสายตาไม่ปกติเนี่ย-*-

พรุ่งนี้ไปทำงานแต่เช้าอีกแล้ว วันอาทิตย์เอาเงินไปจองห้อง
แล้วก็ไปรับมะที่สระบุรีกับเจี๊ยบ ไปกินไอติมดีกว่าแฮะ บอกจะกินนานละ
ไม่ได้กินซะที แต่ก็อยากกลับบ้านเร็วๆด้วยนะ เพราะอยากอ่านหนังสือที่ซื้อมา
ยังเหลือในสต๊อคอีกเพียบเลยล่ะ ก็ไำม่รู้ยังไง เดี๋ยวดูอีกที
แต่วันจันทร์ก็ว่าง อาจจะไปสมัครงานด้วย

จะรับมั้ยวะ กลัวเค้าไม่รับชะมัด วุฒิม.ปลายเรามันแสนต่ำต้อย
ถ้าดูจากในใบกระดาษนั่น เราก็ไม่อยากรับหรอก
แต่ก็อยากให้เค้ารู้ว่า ตัวเราจริงๆมีความสามารถกว่าที่เห็นในกระดาษแผ่นนั้น
แล้้วเค้าจะรู้ได้ไงล่ะ จริงมะ ใครจะไปรู้ได้
นอกซะจากเค้าจะให้โอกาสเราลองทำงานดู

เห้อ เขียนอะไรซะยืดยาวเลยแฮะเรา
ไม่คิดว่าจะยาวขนาดนี้นะ

จะสามทุ่มแล้ว ไปอาบน้ำอ่านหนังสือดีกว่า
เดี๋ยวพรุ่งนี้ทำงานแต่เ้้ช้า ไว้มาเขียนต่อพรุ่งนี้ก็ได้

ไปละ :p

17 มกราคม 2551

รถไฟสีส้ม

เช้าวันหนึ่ง บนรถเมล์*

ขณะที่ฉันนั่งอยู่บนรถเมล์สาย1009
ซึ่งเป็นรถเมล์สายเดียวที่วิ่งผ่านหน้าบ้านฉัน

ฉันกำลังเดินทางไปที่ไหนสักที่
แล้วเมื่อรถเมล์แล่นไปจอดที่ป้ายป้ายหนึ่งเพื่อรอรับคน
ขณะกำลังจะขับออกเลนขวาเพื่อแล่นต่อไปข้างหน้า

อยู่ๆก็มีเสียงเสียงหนึ่ง ดังขึ้นว่า

"ขบวนยาวนะครับ"

น่าจะเป็นเสียงของผู้ชาย ที่พูดผ่านทางไมค์ออกทางลำโพง
ฉันและคนอื่นๆบนรถเมล์ต่างแปลกใจ และมองหาที่มาของเสียงนั้น

แล้วที่ทุกคนเห็นพร้อมๆกันก็คือ

รถบรรทุกสีส้มคันใหม่เอี่ยม ซึ่งเสียงที่ได้ยินน่าจะออกมาจากคันแรก
และหลังจากคันแรกวิ่งผ่านรถเมล์ไปแล้ว
คันที่สอง คันที่สาม สี่ ห้า หก เจ็ด..........จนถึงคันสุดท้าย ก็วิ่งตามมาเป็นระยะ
ฉันไม่ได้นับตั้งแต่แรก แต่คิดว่าเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าสิบคันขึ้นไป

ขบวนรถสีส้มวิ่งผ่านรถเมล์ที่จอดรออยู่

ภาพที่ฉันเห็นวันนั้น ช่างเป็นภาพที่สวยงามในความคิดของฉัน
ฉันรู้สึกเสียดาย ที่ไม่ได้ถ่ายวีดีโอเก็บไว้
เพราะมัวแต่มองดูรถสีส้มพวกนั้นวิ่งผ่านไปด้วยความเร็ว

ฉันครุ่นคิดในใจ นึกสงสัยว่า รถพวกนั้นจะวิ่งไปที่ไหนกันนะ
เท่าที่จำได้ ฉันไม่เคยเห็นขบวนรถบรรทุกใหม่เอี่ยม
วิ่งเกาะกลุ่มกันแบบนี้มาก่อน และที่สะดุดตา คือสีส้มของตัวรถ

สีส้มของรถบรรทุก ทำให้ฉันนึกถึงใครบางคนที่ฉันรู้จัก

ฉันจำได้ว่า ที่ท้ายรถบรรทุก มีชื่อบริษัทที่น่าจะเป็นเจ้าของรถสีส้มพวกนี้
แต่ตอนนี้ฉันจำไม่ได้แล้ว ว่าชื่อนั้นคืออะไร


ขบวนรถบรรทุกสีส้มวิ่งผ่านไปแล้ว แต่ฉันยังเฝ้าคิดถึงมันอยู่จนตอนนี้

และนี่ คือที่มาของชื่อบลอกนี้ รถไฟสีส้ม

แล้วทำไมถึงไม่เป็น รถบรรทุกสีส้มล่ะ ? บางคนอาจสงสัย

นั่นก็เป็นเพราะว่า

ฉันมองเห็นรถบรรทุกพวกนั้นเป็นเหมือนขบวนรถไฟที่วิ่งอยู่บนถนนน่ะสิ
ฉันรับรองได้ว่า ถ้าใครที่ได้เห็นภาพวันนั้น จะต้องคิดแบบเดียวกับฉันแน่ๆ

เหมือนกับว่า มีรถไฟสีส้มทั้งขบวนวิ่งผ่านหน้าเราไป ทั้งๆที่เรากำลังอยู่บนถนน
วิ่งต่อกันเป็นทางยาว จนหายไปลับตา

อ้อ ลืมบอกไป ที่ท้ายรถทุกคัน เปิดไฟกระพริบทั้งสองข้าง
ไฟสีส้ม กระพริบไปตลอดทาง เป็นสัญญาณบอกให้รถคันอื่นรู้เพื่อขอทาง

บางคนอาจเห็นเป็นเรื่องธรรมดา

แต่สำหรับฉัน การได้เห็นอะไรแบบนี้ ในวันที่อากาศดี ลมพัดเย็น แดดอ่อนๆยามเช้า
มันทำให้ฉันมีความสุขได้ไม่ยากเลย

หวังว่าฉันจะมีโอกาสได้พบกับภาพแบบนั้นอีก

ภาพรถไฟสีส้มที่วิ่งไปบนถนนยามเช้า