27 มกราคม 2551

เก้าชีวิต

วันอาทิตย์จิตว้าวุ่น*


เมื่อคืนขึ้นไปนอนกับแม่ เพราะยายนอนที่เตียงเรา
นอนคุยกับแม่หลายเรื่อง จนหลับไป
ตื่นมาตอนเจ็ดโมงเช้า เพราะเสียงตอก ทุบ ของคนงานก่อสร้าง
รู้สึกเหมือนจะไม่สบาย เพราะนอนห้องแอร์

ลงมาเปิดคอมออนเอ็มทิ้งไว้ แล้วขึ้นไปอ่านแกะรอยแกะดาว
จนหลับไปอีกครั้ง มาตื่นเอาตอนที่แม่ปลุกไปวัด

อาบน้ำแต่งตัว ไปวัดกับแม่ ตั้งใจจะไปให้อาหารเต่า
แต่ดันลืมซะงั้น มัวแต่ไปถวายอาหารเพล รับศีลรับพร
แล้วก็ไปปล่อยปลาดุก! แม่บอกว่าให้ปล่อย เราก็โอเค ปล่อยก็ปล่อย

ตอนที่นั่งฟังพระสวดอยู่ ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่างเปล่า
คนมาทำบุญมากมาย แต่เรากลับรู้สึกว่าพิธีกรรมมันไร้ความหมาย
หรือเป็นเพราะความเชื่อทางพิธีกรรมของเรามันไม่หลงเหลืออยู่ต่อไปแล้ว


เราเป็นชาวพุทธ นับถือหลักธรรมคำสอน
แต่เราแค่รู้สึกว่า การกราบไหว้ บูชา ทำบุญ
มันไม่มีความหมายสำหรับเรา

เราก็แค่อยากจะเป็นคนดี ไม่ทำร้ายผู้อื่น
แต่เราไม่อยากเข้าวัด แล้วมาทำอะไรแบบบนี้เลยสักนิด
เรายังเป็นชาวพุทธอยู่รึเปล่านะ ในสายตาของคนอื่น

ช่างเถอะ ไม่ว่าใครจะมองยังไง เราก็จะเป็นของเราแบบนี้

กลับจากไปวัด เรากินส้มตำไก่ย่างข้าวเหนียวเป็นอาหารมื้อแรก
แล้วขึ้นไปอ่านหนังสือต่อที่ห้องแม่ จากนั้นก็หลับไปจนถึงบ่ายสอง
เราตื่น เพราะต้องออกไปตลาดนัดจตุจักร ไปหาของชำร่วย
ที่รุ่นพี่ฝากให้ช่วยดูให้ เพราะเค้าจะแต่งงานเดือนมีนานี้แล้ว

ที่สวน เราเห็นผู้คนมากมาย ทั้งคนที่มาซื้อของ
คนที่ขายของ นักดนตรีเปิดหมวก คนขอทาน
ชาวต่างชาติจากหลายประเทศ เราเดินผ่านผู้คนเป็นสิบเป็นร้อย
เราเหนื่อย ไม่ชอบเดินท่ามกลางฝูงชนแบบนี้

เราเดินหาของที่ต้องการสักพักก็เจอร้านนึง
เราให้เมลเค้าไว้ และขอนามบัตรเค้ามา
หลัวจากนั้น เราเดินไปซื้อบุหรี่นอก รสเมนทอล
ยี่ห้ออะไรจำไม่ได้แล้ว ซื้อมาสามมวน ราคา20บาท

เราจุดบุหรี่มวนแรก เดินหาร้านนั่งพัก
เจอร้านน้ำผลไม้ปั่น เราสั่งสตอร์เบอรรี่ปั่นราคาแก้วละ30บาท
อร่อยมากเลยทีเดียว มีเนื้อสตอร์เบอรรี่ให้เคี้ยวด้วย
เรานั่งที่เก้าอี้ไม้ของร้าน นั่งมองคนเดินผ่านไปผ่านมา

เราจุดบุหรี่มวนที่สอง หยิบแกะรอยแกะดาวมาอ่านต่อ
แดดแรง อากาศร้อนอบอ้าว
หลังจากอ่านไปได้ไม่กี่หน้า เรายอมแพ้ต่ออากาศ
เราจุดบุหรี่มวนที่สาม แล้วนั่งเหม่อมองคนที่เดินผ่านไปมาอีกครั้ง

ตรงหน้าเรามีคณะลำตัดเด็กสองคน
กำลังแสดงลำตัดตามแบบฉบับของพวกเขา
มีคนมายืนดู และให้เงินพอสมควร
เราเห็นฝรั่งคนนึง ถือกล้องวีดีโอ ถ่ายพวกเขาขณะทำการแสดง
เราเดินไปและเอาเงินที่มีอยู่ในมือหย่อนลงในแก้ว
เรานั่งมองอะไรไปเรื่อยๆ

เมื่อเราอิ่มน้ำสตอร์เบอรี่ปั่นแล้ว เราจ่ายเงิน แล้วลุกออกไป
เราเดินหาทางออก แต่ไปเจอนักดนตรีเปิดหมวกคนนึงเป็นผู้ชาย
เค้านั่งเล่นกีต้าร์ มีลำโพง มีไมค์ พร้อมสำหรับการแสดง
เสียงเพลง Let it be ของ The beatles ลอยเข้ามาในหู
เราหาที่ร่ม หยุดยืนฟัง จนจบเพลง
และเดินเอาเงินสิบบาทไปให้นักดนตรี

หลังจากนั้นเราถ่ายรูปเค้าเก็บไว้
เผื่อว่าวันนึงเราอาจได้เล่นดนตรีเปิดหมวกด้วยกันสักครั้ง

เราคิดถึงตัวเอง ตอนที่ไปเล่นดนตรีเปิดหมวกตามที่ต่างๆ

เราเดินออกจากที่ันั่น ไปขึ้นรถเมล์
เรารู้สึกว่าวันนี้เราใจลอย เหมือนสติของเราไปอยู่ที่ไหนสักที่
เรามองผู้คนที่เราเดินผ่าน ที่เดินผ่านเรา
ดูการแต่งตัว สีหน้าท่าทาง
ยิ่งเรามองเห็นมากเท่าไหร่ เรายิ่งอยากไปให้ไกลจากตรงนั้น

เรานั่งรถไปลงเซ็นทรัลรามอินทรา ตรงไปร้านหนังสือ
เราหาหนังสือของปราย พันแสงเล่มเดียวกับที่ซื้อให้นกเล็กไม่เจอ
เราเลยเดินไปหาอีกมุมนึง เราเจอNine livesของ อัพ ทรงศีล
หน้าปกใหม่ สวยกว่าเดิม ข้างหน้าบอกว่า "พิมพ์ครั้งที่3"
เราตัดสินใจเลือกซื้อเล่มนี้แทน ตัดใจทิ้งเล่มอื่นๆไว้ก่อน

"เสียงในความทรงจำ"
"ระลึกถึง คิดถึง นึกถึง"

เป็นสองในหลายๆเล่มที่เราอยากได้
เราเหลือเงินอยู่แค่สองร้อยบาท เราจึงต้องเลือก

และเราก็เลือกไปแล้ว เราใช้แสตมที่สะสมลดราคาหนังสือ
จ่ายเงินไป120บาทจากราคา165บาท
เรานับเงินในกระเป๋า อยากได้หนังสืออีกสักเล่ม
เหลือเงินอีกหนึ่งร้อยบาท ที่เหลือเศษๆต้องเก็บไว้เป็นค่ารถ
เราเดินกลับไปที่ร้าน ตรงไปยังมุมนิตยสาร
หยิบFilmaxมาอ่านเนื้อหาข้างใน
ตัดสินใจซื้อเล่มนี้ราคา90บาท หลังจากนั้นเราออกจากร้าน
ขึ้นรถกลับบ้าน และ กลับมาเปิดคอม นั่งเขียนเรื่องที่เจอมาวันนี้
หลังจากเขียนเสร็จ เราจะไปหาข้าวกิน แล้วนอนอ่านหนังสือที่เตียงสีแดงของเรา

เราจะอ่านแกะรอยแกะดาวให้จบ หลังจากนั้น อาจจะอ่านFilmaxที่ซื้อมาใหม่
ทั้งๆที่เล่มก่อนหน้านี้ เรายังอ่านไม่จบเลย
แล้วยังมีA dayกับ Bioscope ที่อ่านค้างไว้

แต่ก่อนอื่น เราจะอัพโหลดรูปที่ถ่ายมาเก็บลงHi5ก่อน

วันนี้เราคิดอะไรมากมายเหลือเกิน เหนื่อยทั้งๆที่ไม่ได้ทำงานอะไร
พรุ่งนี้เราจะอยู่บ้านอ่านหนังสือทั้งวัน ไม่ออกไปไหนแล้ว

วันนี้คงจบเท่านี้ก่อน พรุ่งนี้ไว้มาเขียนใหม่
ไปล่ะ

ไม่มีความคิดเห็น: